ผู้มาก็คือชุยฉวนเป่าพี่ชายร่วมอุทรตัวจริงของฉยงเหนียง เขากับนางเป็นฝาแฝดกัน อายุสิบห้าปีเท่ากัน ทว่าเขาได้รูปร่างที่สูงใหญ่มาจากชุยจงผู้เป็นบิดา จึงดูกำยำดุจลูกวัวเลยทีเดียว เขาถลึงดวงตาที่กลมโตจ้องจางวั่งอย่างดุดัน ท่าทางบอกชัดว่าหากอีกฝ่ายแตะต้องน้องสาวเขาแม้เพียงนิด เขาจะควงไม้คานหาบบุกเข้ามาทันที
จางวั่งเห็นว่าตอนนี้ตนไม่อาจได้เปรียบแล้ว จึงเบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้วพูดอย่างฉุนเฉียว “ก็แค่เพื่อนบ้านอยากยื่นมือช่วยเหลือน้องสาวเจ้าตักน้ำ เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะมาโวยวายใส่ข้าทำอะไร เจตนาดีกลับถูกมองเป็นหวังร้ายเสียได้!” เขาพูดพลางสะบัดแขนเสื้อเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป
ชุยฉวนเป่าคร้านจะฟังคำบ่นงึมงำของอีกฝ่าย เพียงเดินไปที่ข้างบ่อน้ำ ยกถังใบที่ฉยงเหนียงทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมามัดเชือกแล้วหย่อนลงไปตักน้ำในบ่อ จากนั้นค่อยตักน้ำจนเต็มถังใบที่ตนนำมา หลังจากสอดไม้คานหาบเสร็จ เขาคนเดียวก็หาบน้ำสองถังเดินก้าวยาวมุ่งเข้าลานเรือนโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง
ฉยงเหนียงจึงเร่งซอยเท้าติดตามพี่ชาย หนึ่งคนอยู่หน้า อีกคนอยู่หลัง เดินมุ่งหน้าเข้าลานเรือนไป
หลายวันที่นางกลับมา ชุยฉวนเป่าไม่ค่อยไยดีนางเท่าไรนัก นางคาดว่าคงเพราะตนเองที่กลับสกุลชุยมาก่อนจะเกิดใหม่ผู้นั้นร้องไห้อาละวาดหนักเหลือทน ทั้งเอ่ยวาจารังเกียจสกุลชุยออกไปมากมาย จึงไม่เพียงทำร้ายจิตใจบิดามารดา ยังทำให้ในใจพี่ชายฝาแฝดรู้สึกตำหนินางไปด้วย
ชาติก่อนเป็นเพราะฉยงเหนียงซาบซึ้งที่บิดามารดาเลี้ยงให้นางอยู่ในจวนสกุลหลิ่วต่อไป ดังนั้นนางจึงจงใจห่างเหินกับสกุลชุย ไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อพวกเขาก่อน
กระทั่งต่อมาออกเรือนเป็นแม่คนแล้ว นางถึงค่อยรู้จักโลกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนึกเสียใจภายหลังที่ปฏิบัติกับบิดามารดาแท้ๆ อย่างใจจืดใจดำเกินไป นางจึงส่งคนดั้นด้นไปสืบข่าวความเป็นไปของสกุลชุย หมายจะลอบช่วยเหลือพวกเขาบ้าง ทว่าข่าวที่สืบได้มากลับทำให้นางเป็นกังวลมิคลาย โดยรวมคือพี่ชายร่วมอุทรผู้นี้ของนางไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย เนื่องเพราะต่อมาชุยจงเกิดป่วยหนักต้องใช้เงินโดยด่วน ชุยฉวนเป่าหมายจะหาเงินทางลัดจึงเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งอบายมุข ไปเป็นนักเลงคุมบ่อนพนัน ยิ่งกว่านั้นยังแต่งกับพี่สาวของสหายสนิทที่กินเที่ยวด้วยกันผู้หนึ่ง
สตรีผู้นั้นถึงกับเป็นนางโลมที่ออกมาจากสำนักนางโลมเถื่อน ภายหลังออกเรือนก็ยังคงไม่เปลี่ยนนิสัย อาศัยเงินเก็บที่ได้จากการขายรอยยิ้มและเนื้อหนังมังสามาอวดศักดาในบ้านสามี เรื่องกตัญญูต่อบิดามารดาของสามีจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ส่วนเหตุใดต่อมาชุยฉวนเป่าจึงตีน้องชายภรรยาจนถึงแก่ความตายกระทั่งกลายเป็นคดีความนั้น ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้ในอนาคตผู้นั้นของฉยงเหนียงกระมัง…
คิดมาถึงตรงนี้ หัวคิ้วของฉยงเหนียงก็ขมวดปมนิดๆ ชาติก่อนนางมัวว้าวุ่นใจกับความลับเรื่องชาติกำเนิด ซ้ำเพ้อฝันจะยื้อทุกสิ่งซึ่งเดิมทีไม่สมควรจะเป็นของนางเอาไว้ ผลสุดท้ายจึงจบลงที่สามีนอกใจ บุตรชายบุตรสาวก็ห่างเหิน
สวรรค์ดีต่อนางมิใช่น้อยที่ให้ได้มาเกิดใหม่อีกครั้ง ฉะนั้นครั้งนี้นางจะไม่หวังสูงเกินตัว ไม่มัวไปไขว่คว้าชื่อเสียงกุลสตรีอะไรนั่น และยิ่งจะไม่ทอดทิ้งบุตรไว้กับแม่นมหรือสาวใช้จนต้องลงเอยอย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียวเช่นนั้นอีก ในตลาดที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของชีวิตปุถุชนแห่งนี้ นางจะขอสงบใจเป็นสตรีตระกูลพ่อค้า กตัญญูต่อบิดามารดา แต่งให้สามีที่ประพฤติดีเสมอต้นเสมอปลาย ยิ่งจะเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเอง…
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็มองเงาหลังของเด็กหนุ่มผู้แข็งกร้าวที่อยู่เบื้องหน้า และอดไม่ได้ที่จะยิ่งเร่งฝีเท้าพลางเอ่ยปากเรียก “พี่ชาย รอข้าด้วยสิ!”
ฉยงเหนียงมีเนื้อเสียงที่หวานใสโดยกำเนิด ทั้งอยู่ในวัยกำดัด เสียงเรียก ‘พี่ชาย’ คำนี้จึงเสนาะหูปานนกขมิ้น ต่อให้ในใจชุยฉวนเป่ามีความขุ่นเคืองต่อนางเพียงไร เขาก็ยังชะงักฝีเท้าอย่างห้ามไม่อยู่
รอจนฉยงเหนียงที่อยู่ด้านหลังสาวเท้าวิ่งมาถึง แล้วควักผ้าผืนหนึ่งจากในแขนเสื้อมาเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผากให้ ชุยฉวนเป่าที่เผชิญกับท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของน้องสาวก็ไม่อาจปั้นหน้าบึ้งตึงได้ต่อไป
จะว่าไปในใจเขารู้สึกว่าชุยผิงเอ๋อร์เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเขามากกว่า แม้ชุยผิงเอ๋อร์จะมีนิสัยเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้ง ของกินของใช้ก็ล้วนต้องแย่งสิ่งที่ดีที่สุดในบ้านไปเสมอ ทว่าต่อให้ทะเลาะกันเช่นไร ความรักความผูกพันที่มีต่อน้องสาวมาสิบห้าปีมีหรือบอกว่าเปลี่ยนคนก็จะเปลี่ยนกันได้