คืนนี้หากไม่มีหลี่ซิวเหยาอยู่ นางกับผู้ติดตามคงถูกโจรสลัดเหล่านั้นปล้นเป็นแน่แท้ เมื่อคิดดูเช่นนี้ การที่ไม่กี่วันก่อนยอมให้หลี่ซิวเหยาขึ้นเรือมานั้น สุดท้ายก็กลายเป็นช่วยตัวนางเองเอาไว้ด้วย คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยวนก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้
เดิมนึกว่าชาตินี้จะไม่ต้องมีความสัมพันธ์ยุ่งเกี่ยวใดๆ กับคนสกุลหลี่อีก แต่สุดท้ายนางก็ยังติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตนี้ต่อหลี่ซิวเหยาแล้ว
หลี่ซิวเหยาได้ยินก็หันกลับมามองนาง
แสงจันทร์กระจ่างสีนวลอ่อนส่องลงบนร่างสาวน้อยเบื้องหน้า นางสวมชุดสีเรียบสะอาดตา ทั้งตัวคนดูเฉยเมยสงบนิ่งอย่างยิ่ง
เรื่องเมื่อครู่ถึงกับไม่ได้ทำให้นางตกใจ? เขาจำได้ว่าเวลานั้นนางปีนขึ้นต้นหม่อน ถูกงูตัวหนึ่งบนนั้นทำให้ตกใจจนกรีดร้องออกมา หูของเขาเกือบจะถูกนางทำให้หนวกไปแล้ว
หลี่ซิวเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าบนใบหน้าเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ผิดปกติอะไรออกมา เพียงกล่าวอย่างราบเรียบเป็นพิธีรีตองว่า “แม่นางเสิ่นเกรงใจแล้ว ทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่ผู้แซ่หลี่สมควรทำ”
เสิ่นหยวนยอบตัวคารวะหลี่ซิวเหยาอีกครั้ง “ดึกแล้ว คุณชายรีบไปพักผ่อนเถิด ข้าขอตัวก่อน”
หลังพูดจบเสิ่นหยวนก็ก้มหน้าลง ก่อนพาไฉ่เวยและพวกฉางหมัวมัวกลับเข้าห้องพักของตนเอง
หลี่ซิวเหยามองเงาหลังแบบบางของนางแวบหนึ่ง ก่อนพาฉีหมิงตรงกลับห้องด้านหลังโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ยังดีที่วันถัดมาทิศทางลมเปลี่ยนแล้ว ธงวัดทิศทางลมบนเรือค่อยๆ ขยับหมุน คนคุมเรือสั่งลูกเรือให้ชักใบเรือขึ้น ปลดเชือกออก แล้วเรือก็มุ่งหน้าออกเดินทางต่อไป
คนคุมเรืออยากจะไปจากที่นี่ใจจะขาดอยู่แล้ว แม้เมื่อคืนโจรสลัดจะถูกหลี่ซิวเหยาสังหารเรียบ แต่ลูกเรือคนหนึ่งของเขาก็ถูกโจรสลัดฆ่าตายขณะหนีเอาชีวิตรอด ทั้งยังมีอีกสองคนได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นเรื่องที่จะจบลงได้ด้วยเงินเท่านั้น
คนคุมเรือจึงเริ่มไม่พอใจ รู้สึกว่างานที่เขารับมาครานี้ไม่เพียงไม่ได้กำไร แต่ตนเองยังต้องเสียเงินด้วย มิหนำซ้ำยังเจอเคราะห์หนัก อย่างน้อยภายในปีนี้เขาก็ไม่อยากรับงานอีกแล้ว
ยังดีที่หลังจากนั้นหลี่ซิวเหยากับเสิ่นหยวนต่างให้คนนำเงินมาให้เขานอกเหนือจากค่าเรือ ซ้ำยังเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย นับแล้วยังพอให้เขาไม่ต้องรับงานในปีหน้าได้ทั้งปี
เช่นนี้คนคุมเรือถึงได้พอใจขึ้นมา เริ่มให้การดูแลเรื่องอาหารการกินในแต่ละวันของหลี่ซิวเหยาและเสิ่นหยวนมากกว่าเดิม
สามวันต่อจากนั้นเรือล้วนแล่นตามลม ระหว่างนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก จึงมาถึงท่าเรือเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ระหว่างสามวันนี้เสิ่นหยวนไม่ได้ก้าวออกนอกประตูห้องแม้แต่ก้าวเดียว หากไม่มีอะไรทำก็เพียงแค่นั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็นั่งว่างๆ อยู่ในห้อง แม้จะอุดอู้ไปบ้าง แต่อย่างน้อยการทำเช่นนี้ก็สามารถเลี่ยงไม่ต้องพบเจอหลี่ซิวเหยาได้
ครั้นถึงท่าเรือ ขณะนางจับมือไฉ่เวยประคองตัวก้าวลงจากเรือและเดินไปบนไม้กระดาน ก็มองเห็นหลี่ซิวเหยายืนอยู่เบื้องหน้าพอดี
หลี่ซิวเหยามองเห็นนางลงจากเรือก็ใช้สายตาบอกให้ฉีหมิงหยิบเงินสองก้อนออกมา “นี่เป็นค่าเรือ แม่นางเสิ่นโปรดรับไว้”
เสิ่นหยวนนิ่งงันไปเล็กน้อย นึกอยากหัวเราะอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายนางก็กลั้นเอาไว้
เขาไม่ยอมติดค้างน้ำใจผู้อื่นอย่างที่คิดจริงๆ ทว่าเงินนี้…
“คุณชายหลี่ บุญคุณช่วยชีวิตของท่าน ข้ายังไม่รู้หนทางจะตอบแทนเลย จะยังกล้ารับค่าเรือจากท่านได้อย่างไรกัน” เสิ่นหยวนยอบตัวคารวะเขา ก่อนกล่าวต่อทันที “ข้าอยากกลับจวนแล้ว ขอลาคุณชายตรงนี้”
บนท่าเรือมีคนที่ทางบ้านส่งมารับเสิ่นหยวน หลังจากนางกล่าวอำลาหลี่ซิวเหยาแล้ว ก็จับมือไฉ่เวยก้าวขึ้นรถม้าประดับแพรสีเขียวที่จอดอยู่ข้างๆ ทันที ทั้งยังปลดม่านสีเขียวอ่อนทางด้านหน้าให้ปิดลงมาด้วย
คราวนี้เสิ่นหยวนถึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ คลายมือขวาที่กำแน่นมาโดยตลอดออก
ในที่สุดก็ไม่ต้องเผชิญหน้าหลี่ซิวเหยาอีกแล้ว
ไม่รู้เหตุใดทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเขา นางมักจะรู้สึกประหม่าอย่างห้ามตนเองไม่ได้ แต่ละถ้อยคำที่พูดกับเขาล้วนต้องใคร่ครวญอย่างระวัง ไม่กล้าให้มีข้อผิดพลาด