เสิ่นหยวนปลอบตนเองว่าจะต้องเป็นเพราะข่าวเกี่ยวกับหลี่ซิวเหยาที่นางได้ยินเมื่อชาติก่อนล้วนพูดถึงแต่ความโหดร้ายทารุณ ความโหดเหี้ยมอำมหิต และอารมณ์อันไม่คงเส้นคงวาของเขา ดังนั้นในใจถึงได้เกรงกลัวเขาเป็นที่สุด
มิหนำซ้ำขณะเขาสู้กับพวกโจรสลัดเพียงลำพังในคืนนั้น เพลงกระบี่ก็โหดเหี้ยมยิ่งยวด แต่ละกระบวนท่าล้วนมุ่งไปที่จุดตายของผู้อื่น ภาพเหตุการณ์ก็นองเลือดจริงๆ อันที่จริงนางยังถูกทำให้ตกใจอยู่บ้าง
ทว่าตอนนี้ดีแล้ว ภายหน้าพวกนางน่าจะไม่มีโอกาสให้พบหน้ากันอีก
สารถีหวดแส้ม้าในมือ รถม้าก็เคลื่อนออกจากท่าเรือไปอย่างช้าๆ
ฉีหมิงมองรถม้าเคลื่อนจากไปพลางหันหน้ามากล่าวกับหลี่ซิวเหยา “คุณชาย ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าแม่นางเสิ่นท่านนี้หลบหน้าท่านอยู่บ้างเล่าขอรับ”
หลี่ซิวเหยาเก็บสายตาที่มองรถม้ากลับมา ก่อนเลื่อนไปมองฉีหมิง “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าสนใจเรื่องผู้อื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
เสียงเขาเยียบเย็นอยู่บ้าง ฉีหมิงได้ยินแล้วให้ใจหายวาบ รีบก้มหน้าลง กล่าวตอบอย่างเคารพนบนอบ “ผู้น้อยมิกล้า”
หลี่ซิวเหยามองเขาปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำหน้าไป
หนึ่งวันก่อน เรือนส่วนในของสกุลเสิ่น
เสิ่นหลันกำลังนั่งก้มหน้าปักผ้าอยู่บนเตียงเตา ไม้ใกล้หน้าต่างในห้องข้างฝั่งตะวันตกของเรือนชิงอี
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เงยหน้าขึ้นมองเซวียอี๋เหนียง ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งยังคงก้มหน้าปักดอกเสาเย่าบนสะดึงในมือ นางอดไม่ไหวพูดขึ้นว่า “อี๋เหนียง วันพรุ่งนี้เสิ่นหยวนก็จะกลับมาแล้ว”
เซวียอี๋เหนียงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงปักดอกไม้ต่ออย่างไม่รีบไม่ร้อน พร้อมกันนั้นก็พูดอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ข้ารู้ เมื่อครู่ข้าก็จัดคนไปรับนางที่ท่าเรือในวันพรุ่งนี้แล้ว”
เสิ่นหลันวางสะดึงในมือลง “เหตุใดอี๋เหนียงต้องให้คนไปรับนางด้วยเจ้าคะ ตอนแรกนางถูกส่งตัวจากไปอย่างซมซาน ไม่ดีกว่าหรือถ้ายามนี้ให้นางกลับมาอย่างซมซาน ไฉนท่านต้องไว้หน้านางเช่นนี้เล่า”
“นี่ข้าไม่ได้ไว้หน้านาง” เซวียอี๋เหนียงยกมือลูบรอยย่นบนสะดึง แล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหลัน กล่าวว่า “แต่ข้าไว้หน้าตัวข้าเอง”
เห็นเสิ่นหลันมีสีหน้าไม่เข้าใจ นางก็อธิบายอย่างสงบ “ตอนที่ฮูหยินสิ้นใจไป นายท่านบอกจะไว้ทุกข์ให้ฮูหยินหนึ่งปี เรื่องในเรือนส่วนในมอบให้ข้าดูแลจัดการชั่วคราว เวลานี้นางกลับมาแล้ว หากข้าไม่ส่งคนไปรับนางที่ท่าเรือ รอนางกลับมาร้องไห้อาละวาดต่อหน้าบิดาเจ้า ย่อมจะเป็นความผิดของข้า แต่ถ้าตอนนี้ข้าส่งคนไปรับนางกลับมาจากท่าเรือดีๆ บิดาเจ้าเห็นแล้ว ในใจมีแต่จะชื่นชมที่ข้าจัดการงานละเอียดรอบคอบ ทั้งยังใจกว้าง เรื่องที่ทำให้บิดาเจ้าพอใจได้เช่นนี้ เหตุใดข้าจะไม่ทำ”
“อี๋เหนียงท่านจะระมัดระวังเกินไปแล้ว” น้ำเสียงของเสิ่นหลันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ตอนแรกเสิ่นหยวนทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนั้นออกมา ท่านพ่อโกรธเกรี้ยวยิ่ง หากมิใช่ฮูหยินห้ามไว้ นางคงถูกท่านพ่อส่งไปปฏิบัติธรรมที่สำนักชีนานแล้ว ในใจท่านพ่อรังเกียจนางออกปานนั้น อีกทั้งตอนนี้ฮูหยินก็ตายไปเกือบปีแล้ว ท่านดูแลทุกอย่างในเรือนส่วนในนี้ ยังต้องกลัวอะไรอีก”
เซวียอี๋เหนียงไม่ได้พูดอะไร แต่มองเสิ่นหลันอย่างละเอียด เสิ่นหลันถูกนางมองจนขนลุกอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยถาม “อี๋เหนียง ท่านมองข้าเช่นนี้เพราะเหตุใด”
สายตาเซวียอี๋เหนียงมองเสิ่นหลันตรงๆ เอ่ยปากถามนางตามตรง “เจ้าไม่ดีใจที่นางกลับมา? หรือว่าอันที่จริงในใจเจ้ากลัวนางจะกลับมา?”
เสิ่นหลันกัดริมฝีปากเบาๆ ดวงตางามหลุบลง
นางย่อมจะไม่ชอบเสิ่นหยวน
ทั้งๆ ที่เป็นบุตรสาวของบิดาเหมือนกัน แต่แค่เพราะเสิ่นหยวนเกิดจากครรภ์ของฮูหยิน ในขณะที่นางเกิดจากครรภ์ของอี๋เหนียง ยามออกไปข้างนอกคนที่ผู้อื่นสังเกตเห็นแรกสุดจึงเป็นเสิ่นหยวนเสมอ แต่เมื่อเอ่ยถึงนางในสายตากลับมีแววดูถูกอยู่บ้าง
เสิ่นหยวนอาศัยอะไรถึงได้สูงศักดิ์ปานนั้น ขณะที่นางต่ำต้อยเพียงนี้ และที่สำคัญที่สุดคือที่แล้วมาเสิ่นหยวนอาศัยความเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของตนเองเชิดหน้าชูคอต่อหน้านางเป็นประจำ มีไม่น้อยที่ออกคำสั่งกับนาง ซึ่งนางก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนทำตัวเป็นเบี้ยล่างอีกฝ่าย บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม
ส่วนที่ว่ากลัวเสิ่นหยวนนั้น…
เสิ่นหลันเงยหน้าขึ้น มองเซวียอี๋เหนียงก่อนแค่นเสียงเบาๆ อย่างดูแคลน “นางหน้าโง่ปานนั้น ข้าต้องกลัวอะไรนาง”
จะว่าไป เสิ่นหยวนก็เป็นคนที่เชื่อคนอื่นง่ายจริงๆ รู้สึกอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้า ไม่เคยรู้จักปิดบัง แค่นางฟังผู้อื่นพูดดีเข้าหน่อยก็หลุดเรื่องในใจออกมาจนหมดเปลือกแล้ว