ยามเสิ่นหยวนมาถึงจวนเป็นเวลาบ่ายแล้ว นางยืนอยู่หน้ากำแพงบังตาบริเวณประตูใหญ่ มองดูภาพสลักนูนลายใบบัว ดอกบัว และปลาไนหลากสีบนนั้น ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
บิดาชิงชังที่นางทำเขาขายหน้า แม้ชาติก่อนเขาจำต้องฝืนใจตอบตกลงให้นางแต่งกับหลี่ซิวหยวนตามคำสั่งของท่านป้า ทว่านับแต่นางแต่งเข้าสกุลหลี่บิดาก็ไม่อนุญาตให้นางเหยียบเข้าประตูจวนสกุลเสิ่นอีกแม้แต่ก้าวเดียว ด้วยเหตุนี้จวบจนตายนางก็ไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้สักครั้ง
คิดไม่ถึงว่าตนเองจะยังมีวันที่ได้กลับมาอีก
นางค่อยๆ ยกมือลูบไปบนกำแพงบังตา ศิลาสีเทาเขียวบนนั้นถูกแสงแดดส่องจนอุ่นเล็กน้อย
เสิ่นหยวนรู้สึกว่าดวงตายิ่งร้อนกว่าเดิม คล้ายน้ำตาจะหยดลงมาในเสี้ยวเวลาถัดไป
ฉับพลันนางก็เงยหน้าขึ้น ฝืนบังคับให้น้ำตาไหลกลับลงไป จากนั้นก็มองไปด้านหน้า ยกเท้าก้าวเดินตรงไปด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
ในที่สุดนางก็กลับมาแล้ว และชาตินี้นางจะไม่มีวันยอมมีจุดจบน่าสังเวชเช่นเมื่อชาติก่อนอีก รวมถึงน้องชายน้องสาวของนางด้วย ขณะมารดายังอยู่บนโลกได้หวังอยู่ตลอดให้พวกนางสามพี่น้องมีชีวิตที่ดี ฉะนั้นนางก็จะดูแลพวกเขาให้ดี ไม่ปล่อยให้มีจุดจบน่าเศร้าเช่นในชาติก่อนเด็ดขาด
เซวียอี๋เหนียงพาพวกเสิ่นหลันมารอรับเสิ่นหยวนอยู่ตรงประตูรองซึ่งกั้นเรือนส่วนหน้าและเรือนส่วนใน ครั้นเห็นเสิ่นหยวนเดินมานางก็ก้าวมาหาก่อนพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที “คุณหนูใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เสิ่นหยวนมองเซวียอี๋เหนียง
เมืองหลวงช่วงปลายปีอากาศเย็นมากแล้ว เซวียอี๋เหนียงสวมเสื้อผ้าต่วนผ่าหน้าลายดอกสีม่วงอ่อน เสื้อนอกตัวยาวคอตั้งป้ายข้างสีขาวนวลอมเหลืองและกระโปรงจีบเรียบสีม่วงอ่อน รูปโฉมงามสง่าบริสุทธิ์ อากัปกิริยาอ่อนโยนน่าชิดเชื้อ
อันที่จริงชาติก่อนตอนเสิ่นหยวนยังไม่ออกเรือนนั้นรู้สึกว่าเซวียอี๋เหนียงเป็นคนที่ดีมาโดยตลอด เนื่องจากไม่เคยมีเวลาใดที่เซวียอี๋เหนียงไม่มีรอยยิ้มบนหน้าให้นาง พูดจาก็นุ่มนวลราวกับฝนโปรยปรายในฤดูวสันต์ สามารถพูดได้ตรงใจนาง ทำให้นางพอใจได้อย่างพอเหมาะพอดี
ทว่าหลังแต่งไปสกุลหลี่แล้ว บิดาก็สิ้นใจลงในสี่ปีให้หลัง นางมางานศพ เซวียอี๋เหนียงกลับให้คนมาขวางนางไว้ข้างนอก ไม่ให้นางเข้าประตู
เสิ่นหยวนยังจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันตงจื้อ* ท้องฟ้ามีปุยหิมะพัดลอยล่อง เซวียอี๋เหนียงกับเสิ่นหรงยืนอยู่ด้านหลังธรณีประตู มองนางจากที่สูงกว่า ในสายตาเซวียอี๋เหนียงมีเพียงแววยโสและดูแคลน พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ‘เจ้ายังนึกว่าเจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลเสิ่นอยู่หรือ บิดาเจ้าเคยบอกไว้นานแล้วว่าสกุลเสิ่นไม่มีบุตรสาวที่ไร้ยางอายเช่นเจ้าอีก ตอนนี้เจ้ากลับมาทำอะไร มาให้อับอายขายหน้าคนหรือไร!’
ทั้งยังตวาดสั่งคนเฝ้าประตูทั้งซ้ายขวาว่า ‘วันหลังหากนางมาอีก ก็ไม่ต้องพูดอะไรกับนางแล้ว ใช้ไม้ตีไล่ไปเลย!’
เวลานั้นนางมีชีวิตอยู่ในสกุลหลี่อย่างยากลำบาก แม้แต่สาวใช้ยังเทียบไม่ได้ เสิ่นเซียงน้องสาวของนางก็ถูกทรมานจนตายที่สกุลเซวีย เสิ่นหงผู้เป็นน้องชายถูกพวกเขาล่อลวงให้เข้าออกหอนางโลม แล้วจงใจหาหญิงที่มีโรคไปให้เขาจนเขาติดโรคมา ทำให้ถูกบิดาไล่ออกจากบ้าน ไม่รู้หายไปที่ใดนานแล้ว แม้แต่เป็นหรือตายก็มิอาจรู้ได้
ส่วนเสิ่นหลันในเวลานั้นได้แต่งให้บุตรชายสายตรงของรองเจ้ากรมพิธีการแล้ว สกุลเสิ่นไร้บุรุษอื่น เสิ่นหรงจึงได้สืบทอดทุกอย่างของสกุลเสิ่น บิดาเองก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ แม้เซวียอี๋เหนียงจะยังคงเป็นอนุ แต่บุตรชายนางได้สืบทอดทุกอย่างของสกุลเสิ่น เป็นอนุหรือไม่จะมีอะไรสำคัญอีกเล่า
คิดถึงเรื่องทุกอย่างนี้ เสิ่นหยวนก็รู้สึกว่าเลือดลมตีขึ้นตีลงในใจ
นางจิกฝ่ามือแน่น มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากเอามือฟาดไปที่ใบหน้าอันดูอ่อนโยนใจดีไร้พิษภัยตรงหน้านี้ให้สุดแรง แต่นางยังคงอดกลั้นไว้ ไม่เพียงแค่นั้น นางยังแย้มยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้พบอี๋เหนียงมาหนึ่งปีกว่า อี๋เหนียงสบายดีหรือไม่”
เซวียอี๋เหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
ในอดีตเสิ่นหยวนไม่มีทางทักทายผู้อื่นอย่างสงบเยือกเย็นเพียงนี้ ด้วยนางมีนิสัยเย่อหยิ่ง ทั้งยังหุนหันพลันแล่น แม้แต่กับนายท่านและฮูหยินนางก็ยังออกอาการรำคาญเล็กๆ นับประสาอะไรกับผู้อื่น หากแต่ยามนี้…
เซวียอี๋เหนียงไม่ตอบอะไร สายตาพินิจมองเสิ่นหยวนอย่างละเอียด
เสิ่นหยวนสวมเสื้อนอกตัวยาวผ่าหน้าลายดอกสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนและกระโปรงจีบเล็กสีขาวงาช้าง บนศีรษะมีเพียงปิ่นมุกสีขาวหนึ่งอันและดอกไม้ประดับขนนกกระเต็นขนาดเล็กยิ่งอีกสองดอกเท่านั้น
นางดูสงบเสงี่ยมเมินเฉยเพียงนี้ มีชั่วครู่หนึ่งที่เซวียอี๋เหนียงไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้านี้คือเสิ่นหยวน
ไฉนไปฉางโจวแค่ปีเดียว พอกลับมานางก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนเล่า