ซั่งอวิ๋นเทียนอ่านแล้วหัวคิ้วขมวดมุ่น ในใจรู้สึกไม่ชอบใจต่อพฤติกรรมของคุณหนูหลิ่วผู้นี้อยู่บ้าง เดิมทีสตรีในตระกูลขุนนางไม่พึงกระทำบุ่มบ่ามขาดความสำรวมเยี่ยงนี้ ไฉนจึงผลีผลามมาเยือนทั้งๆ ที่ไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน
ฟางต๋าที่อยู่ด้านข้างย่อมจะมองออก ครั้นเบนสายตาไปดูรากโสมที่อวบอิ่มต้นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา “บอกแล้วว่าพี่ซั่งมีวาสนาด้านนารี ดูสิ คุณหนูในเมืองหลวงถึงกับมาหาท่านโดยเฉพาะ ช่างสมดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากมีวาสนา แม้อยู่ห่างพันหลี่ ก็ยังได้พบพาน’!”
ยังไม่ทันขาดคำ ซั่งอวิ๋นเทียนก็ฉีกเทียบคารวะนั้นเป็นชิ้นๆ แล้วเอ่ยสีหน้าจริงจัง “พี่ฟางโปรดระวังคำพูด ชื่อเสียงของคุณหนูตระกูลขุนนางใช่สิ่งที่ท่านและข้าลบหลู่ได้หรือ บิดาข้าเคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้คุณชายหลิ่วจริง บางทีนางอาจได้รับการไหว้วานจากพี่ชายถึงได้แวะมาส่งของกำนัลแทน เพียงแต่คงเพราะอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการเขียนจดหมายถึงบุรุษด้วยตนเองเช่นนี้เป็นการไม่เหมาะสม ดังนั้นย่อมไม่พ้นที่ท่านกับข้าจะนิ่งเสียตำลึงทอง ช่วยรักษาเกียรติให้นาง เรื่องนี้จึงขอให้ยุติแต่ในห้องนี้ อย่าได้เล่าต่อออกไปอีก!”
ฟางต๋าถูกกำชับจนเบื้อใบ้ไร้วาจา ได้แต่สั่นศีรษะยิ้มตอบ “พี่ซั่งเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ เมื่อครู่เป็นข้าเองที่หุนหันพลันแล่น แค่กๆ วันหน้าสตรีที่ได้แต่งให้ท่านช่างมีโชควาสนาจริงๆ!”
หลังจากทั้งสองจบบทสนทนายิ้มหัวก็ดับตะเกียงพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น ทั้งสองยังไม่ได้กินอาหารเช้าในโรงเตี๊ยมก็เดินเล่นมาถึงหน้าแผงขนมสกุลชุยแล้ว
เดิมทีนึกว่าพวกตนถือเป็นคนกลุ่มแรกๆ คาดไม่ถึงว่าหน้าแผงที่ไม่ใหญ่โตนั้นกลับคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนก่อนแล้ว มีผู้เข้าสอบจำนวนไม่น้อยมากินขนมแกล้มน้ำชา หมายถือโอกาสพบปะยอดคนผู้วาดภาพบนขนมเมื่อวานนี้ด้วย
ทว่าหลังจากรอคอยอยู่ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา หน้าแผงก็มีเพียงสามีภรรยาสองคนนั้นที่เข้าๆ ออกๆ และไม่เห็นจะยกขนมที่วาดลวดลายออกมาเสียที
พอมีบางคนใจร้อนส่งเสียงถามอย่างหมดความอดทน เถ้าแก่แซ่ชุยก็ยิ้มตอบว่า “อีกประเดี๋ยวจะส่งมา”
ไม่นานนักเด็กหนุ่มรูปกายกำยำผู้หนึ่งก็ยกถาดเดินฉับๆ มาถึงจริงเสียด้วย ไม่ทันรอให้เขาวางถาดลงบนชั้นวาง ผู้คนก็รุมล้อมเข้ามาแล้ว
อาจเพราะเวลากระชั้นชิด วันนี้จึงวาดภาพบนขนมหยกขาวเพียงสิบชิ้น ดูโหรงเหรงบางตา ทั้งภาพบนนั้นก็มิใช่ทิวทัศน์ถนนย่านการค้า หากแต่เป็นภาพวิหคบุปผา
ขอเพียงเป็นผู้ที่พอจะมีความรู้ด้านงานวาดแบบลงรายละเอียด ล้วนรู้ว่างานวาดที่ทดสอบฝีมือมากที่สุดก็คือภาพวิหค สิ่งมีชีวิตที่ประเปรียวนี้หากไม่มีพรสวรรค์กับฝีมือนานนับปีก็ไม่อาจวาดให้ดูราวจะทะยานออกจากแผ่นกระดาษได้ นับประสาอะไรกับการวาดบนขนมซึ่งมิได้เรียบลื่นเช่นกระดาษเซวียนจื่อ ยิ่งเป็นการทดสอบกำลังข้อมือกับความอดทนของผู้วาดโดยแท้