บทที่สี่
เจิ้งจวี่เหรินแม้ร่ำรวยก็เป็นเพียงคหบดีจากบ้านนอก อย่างไรเสียก็ไม่มีปัญญาเอาอย่างพฤติกรรมโยนใบไม้ทองคำเยี่ยงนั้น ทว่าเรื่องเสียศักดิ์ศรีต่อหน้าสหายรุ่นราวคราวเดียวกันจะให้เขาอดทนยอมแพ้ไปได้อย่างไร
เนื่องจากเขาไม่แน่ใจที่มาของอีกฝ่าย จึงได้แต่เล่นงานชุยจงแทน “ข้าเอ่ยปากจะซื้อก่อน เหตุใดเจ้าถึงไม่ขาย หากไม่อาจจัดการอย่างยุติธรรม วันนี้ข้าจะล้มแผงของเจ้าเสีย!”
อุปนิสัยของชุยจงสมดังชื่อที่มีความหมายว่า ‘ซื่อสัตย์’ ทำสิ่งใดล้วนยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง เขาจึงรีบหันไปหาบ่าวดุร้ายผู้นั้นแล้วยิ้มพูดไกล่เกลี่ย “ในเมื่อลูกค้าท่านนั้นเอ่ยปากก่อน จะอย่างไรก็ต้องขายให้เขาหนึ่งชิ้น ลูกค้าท่านนี้ซื้ออีกเก้าชิ้นที่เหลือ ข้าจะคิดราคาให้ท่านถูกหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”
บ่าวดุร้ายผู้นั้นคร้านจะเปลืองน้ำลาย เพียงส่งสายตาให้ลูกสมุนร่างกำยำหลายคนที่อยู่ด้านหลัง แต่ละคนก็พากันชักดาบพกที่ส่องแสงแปลบปลาบออกมา หนึ่งในนั้นพลันเงื้อมือลงดาบ สิ้นเสียงฉับก็เฉือนมุมโต๊ะออกไปแล้ว
นี่ใช่พฤติกรรมของสุภาพชนเมื่อไรกัน ตอนนี้ฝูงชนเพิ่งจะสังเกตว่าเครื่องแต่งกายของคนเหล่านี้ไม่คล้ายชาวภาคกลาง บนร่างยิ่งแผ่ซ่านความดุดันน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
สามีภรรยาสกุลชุยพลันลนลานไม่รู้ควรจะรับมือเช่นไรดี
ตอนนี้เองเสียงพูดอันละมุนละไมของสตรีก็พลันดังมา “เปิดประตูทำการค้าก็ย่อมขายแก่ผู้ให้ราคาสูง ส่วนลูกค้าที่เอ่ยปากก่อนท่านนั้น โปรดลองดูว่าจะซื้อขนมชนิดอื่นไปดีหรือไม่”
ซั่งอวิ๋นเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมองตามสายตาของทุกคนไป เห็นแม่นางน้อยร่างอรชรผู้หนึ่งสวมงอบยืนอยู่เบื้องหลังฝูงชนดุจดอกบัวที่ชูช่อสะท้อนผิวน้ำ เพียงแค่มองปราดเดียวนี้เขาก็ไม่อาจละสายตาอีก
ที่แท้วันนี้ฉยงเหนียงรีบตื่นแต่เช้านำพวกโก๋วฉี่กับเศษรังนกที่หลิ่วผิงชวนกำนัลให้ไปแช่น้ำสะอาดที่ตักจากบ่อแล้วตุ๋นปรุงด้วยตนเอง จากนั้นผสมแป้งข้าวเหนียวแล้วทำเป็นขนมหยกขาวสิบชิ้นนี้กับมือ
ตอนที่นางยังเป็นฮูหยินจวนสกุลซั่งก็เคยกินเจกับเหล่าฮูหยินของผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง หลายครั้งที่ไทเฮานึกครึ้มอกครึ้มใจให้ขายอาหารเจการกุศลเพื่อรวบรวมเงินบริจาค นางก็ค่อยๆ ฝึกฝนวิธีทำอาหารเจครบชุดจนสันทัดช่ำชองและได้รับคำชมจากไทเฮาว่ารสชาติดี นางจึงเข้าครัวบรรจงทำอาหารเจกับอาหารที่มีสรรพคุณทางยาไปเอาใจไทเฮาอยู่บ่อยครั้ง
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว นางสืบทอดรสมือที่ดีมาจากหลิวซื่อนั่นเอง ดังนั้นขนมหยกขาวที่นางเป็นผู้นึ่งจึงไม่ด้อยกว่าในวังหลวงเป็นอันขาด ราคาชิ้นละหนึ่งตำลึงเงินนี้มิใช่เรียกราคาสูงส่งเดช พึงรู้ไว้ว่าชาติก่อนขนมฝีมือนางที่มีมูลค่าสูงสุดในงานการกุศลถูกขายออกไปด้วยราคาชิ้นละหนึ่งก้อนทองเชียว
ส่วนชุยฉวนเป่าก็รู้แก่ใจว่าเมื่อวานที่ได้กินหมูตุ๋นเป็นผลงานของน้องสาวที่ดูคล้ายเปราะบางผู้นี้ เด็กหนุ่มยังคงตะกละไม่หาย มุ่งหวังว่าวันนี้จะได้กินอาหารดีๆ อีก ดังนั้นเขาจึงว่าง่ายคอยเชื่อฟังคำกำชับของฉยงเหนียงที่ต้องการให้เรียกราคาสูง รอจนท่องคำของนางได้ขึ้นใจ เขาก็ยกประคองถาดใบใหญ่นำขนมไปส่ง
ทว่าพอพี่ชายจากไปแล้ว ในใจฉยงเหนียงกลับกระสับกระส่าย ชาติก่อนนางมีชื่อเสียงเกื้อหนุนในฐานะสตรีผู้มากความสามารถ นางลงมือปรุงอาหารใช่ว่าจะหาซื้อได้ด้วยเงินทอง ทว่าตอนนี้นางเป็นเพียงบุตรสาวพ่อค้าแผงลอยในตำบลเล็กๆ ขนมหนึ่งชิ้นเรียกราคาหนึ่งตำลึงเงิน ตรองอย่างละเอียดแล้วนางก็ขาดความมั่นใจขึ้นมา ดังนั้นจึงสวมงอบออกจากบ้านมายืนสังเกตการณ์อยู่หลังฝูงชนแต่ไกล
เมื่อแรกที่ได้ยินว่าเจิ้งจวี่เหรินจะซื้อขนมหยกขาวหนึ่งชิ้น นางก็พลันโล่งอก ในใจรู้ดีว่าขอเพียงขายออกหนึ่งชิ้นก็มีกำไรแน่แล้ว ใครจะรู้ว่าชั่วพริบตากลับมีบ่าวดุร้ายผู้หนึ่งโผล่มาทำมือเติบจนเกิดเหตุโต้เถียงกัน
เดิมทีมีคนมาแข่งราคาย่อมเป็นเรื่องดี ทว่าฉยงเหนียงดวงตาเฉียบคม มองเห็นป้ายพกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของบ่าวดุร้ายผู้เป็นหัวหน้านั้นในปราดเดียว บนป้ายคือรูปสลักสัตว์มงคลไป๋เจ๋อตรงกลางมีอักษรจ้วนคำว่า ‘ฉู่’ อยู่ตัวหนึ่ง