ฉยงเหนียงเห็นเหตุวุ่นวายนี้คลี่คลายลงแล้วก็ไม่ปรารถนาจะรั้งอยู่เบื้องหน้าฝูงชนต่อไป หลังจากบอกกล่าวต่อบิดามารดาเสร็จก็เตรียมจะติดตามพี่ชายกลับบ้าน ทว่าระหว่างหมุนตัวเงยหน้าขึ้น กลับประสานสายตากับซั่งอวิ๋นเทียนที่อยู่ในกลุ่มคนพอดี
ฉยงเหนียงไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้ตนยังจะได้พบอดีตสามีอีก
คิ้วตาของซั่งอวิ๋นเทียนกระจ่างหล่อเหลายิ่งกว่าในความทรงจำ ความสุขุมหนักแน่นที่ซึมซาบหล่อหลอมมาจากการเป็นขุนนางยังไม่ทันคืบคลานสู่หางตาและปลายคิ้ว ในแววตายังคงสว่างหมดจดดุจเดียวกับยามที่นางพบเขาในครั้งแรก ทว่าอาการใจสั่นหวั่นไหวในอดีตล้วนถูกน้ำในบ่อที่หนาวเสียดกระดูกนั้นโถมทะลักเข้าสู่หูและจมูกจนชะล้างสิ้นไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวแล้ว
ฉยงเหนียงเพ่งมองเขาแน่วนิ่ง เขาเองก็กำลังมองนางอย่างตกตะลึงในความงาม แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางน้อยผู้นี้จึงมองเขาอย่างเปิดเผย แต่ในใจเขากลับเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นยินดี
เพียงแต่พริบตาต่อมา ขณะที่เขาคลี่ยิ้มซึ่งแฝงล้นด้วยความประหม่าเคอะเขิน ฉยงเหนียงก็หันหน้าจากไปอย่างเฉยเมยเสียแล้ว
แม้ภาพที่เขาไม่ซื่อสัตย์และปกป้องหลิ่วผิงชวนในชาติก่อนจะชวนให้แสลงใจเพียงไร แต่ในเมื่อชาตินี้ความรักความแค้นทั้งปวงไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่น้อย นางไยต้องเป็นสตรีเจ้าอารมณ์จมปลักกับอดีตจนมิอาจถอนตัวด้วยเล่า ขอให้เขาราบรื่นในเส้นทางขุนนางเช่นเดียวกับชาติก่อนก็แล้วกัน ทว่าชาตินี้นางไม่ขอเกี่ยวพันกับเขาอีกแม้เพียงน้อยนิด
ชาติก่อนซั่งอวิ๋นเทียนเคยเล่าว่าช่วงก่อนสอบตอนที่พำนักชั่วคราวอยู่ในตำบลฝูหรง เขาถูกรถม้าชนจนกระดูกขาหัก ทำให้พลาดกำหนดสอบรอบนั้นไป
ต่อมาหลูซื่อมารดาของเขาขายสมบัติบรรพบุรุษที่บ้านเกิดเพื่อย้ายมาอาศัยที่ชานเมืองหลวง ระหว่างนั้นเขาจึงได้พบฉยงเหนียงที่วัดโดยบังเอิญ เมื่อนางรู้ว่าเขาเป็นบุตรของอาจารย์ที่เคยสอนหนังสือให้หลิ่วเจียงจวีพี่ชายนาง ในใจก็มีความรู้สึกที่ดีให้ หลายครั้งตอนที่พี่ชายเชิญเขามาพูดคุยสัพเพเหระที่จวน นางจึงได้รู้จักเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น และปลงใจเรื่องสำคัญชั่วชีวิตกับเขาในที่สุด หลังออกเรือนฉยงเหนียงล้วนอยู่เคียงข้างขณะที่เขาจดจ่อตรากตรำอ่านตำรา จวบจนเขาสอบผ่านหน้าพระที่นั่งในการสอบ
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ชาติก่อนเขาก็ประสบเหตุที่นี่ และน่าจะห่างจากวันที่ถูกชนขาหักอีกไม่ไกลแล้วกระมัง
มิน่าเล่า เมื่อวานหลิ่วผิงชวนถึงรุดมาเป็นพิเศษ อีกฝ่ายนอกจากจะมาชมเรื่องขบขันยามนางตกยาก ก็ยังดีดลูกคิดรางแก้วจะมาดักพบซั่งอวิ๋นเทียนล่วงหน้านั่นเอง
นึกถึงคำพูดเมื่อวานที่สาวใช้คนสนิทของหลิ่วผิงชวนหลุดปากว่าไปเยี่ยมคารวะคุณชายซั่ง ฉยงเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก
ในเมื่อชาตินี้ข้าไม่ได้แต่งให้ซั่งอวิ๋นเทียน เช่นนั้นหลิ่วผิงชวนอยากจะทอดไมตรีอย่างไรก็เชิญตามสะดวกเถอะ ไม่มีข้าฉยงเหนียงขวางทางอยู่ตรงกลางก็ขอให้พวกเจ้าครองคู่กลมเกลียวตลอดไป มีลูกหลานสืบสกุลให้มากๆ ก็แล้วกัน
ฉยงเหนียงบังคับตนเองไม่ให้คิดต่อ มิเช่นนั้นหากไปกระหวัดคิดถึงบุตรชายหญิงที่ชาตินี้ตนไร้วาสนาได้พบแล้ว น้ำตาก็จะพรั่งพรูเป็นทำนบแตกอีก
ชุยฉวนเป่ากำลังดีอกดีใจที่วันนี้ค้าขายได้ใบไม้ทองคำมา ไม่รู้มารดาจะซื้อของอร่อยอะไรมาให้เขาได้กินมื้อใหญ่ แต่พอหันหน้าไปกลับเห็นน้องสาวขอบตาแดง เขาจึงรีบถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”
ฉยงเหนียงพยายามกะพริบตาถี่ๆ ตอบเพียงว่า “ลมแรงฝุ่นเลยเข้าตาข้า”
ชุยฉวนเป่าแม้ไม่ซักไซ้ต่อ แต่ก็มองออกว่านางไม่ร่าเริง เขาจึงตัดสินใจทันทีว่าจะต้องขอเงินมารดาไปซื้อของเอาใจน้องสาว
สกุลชุยได้รายรับเป็นใบไม้ทองคำหนึ่งใบ ทำให้มีอันจะกินขึ้นมาทันตาเห็น ประกอบกับวันนี้ที่แผงก็เกือบจะเผชิญคมดาบ สองสามีภรรยาจึงเก็บแผงเร็วขึ้น
หลิวซื่อคิดว่าอีกไม่ช้าก็จะถึงเทศกาลซั่งซื่อ จึงตั้งใจไปที่ร้านผ้าแล้วซื้อผ้าไหมสีกลีบบัวให้ฉยงเหนียง เนื้อผ้าที่ละเอียดลออเช่นนี้หลิวซื่อไม่กล้าตัดเย็บเองแน่ คิดแล้วก็จ่ายเงินอีกจำนวนหนึ่งไหว้วานช่างฝีมือดีที่อยู่ร้านติดกันให้ตัดเป็นชุดหรูฉวิน รอจนถึงวันเทศกาลซั่งซื่อจะได้ให้บุตรสาวสวมเสื้อใหม่ครบชุดไปลอยโคมบุปผากับเหล่าแม่นางน้อยที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง