วันรุ่งขึ้นหลังจากสามีภรรยาสกุลชุยไปตั้งแผง ชุยฉวนเป่าก็เป็นเพื่อนน้องสาวไปวัดตัวที่ร้านตัดเสื้อ พอวัดตัวเสร็จ สองพี่น้องก็ไม่ได้รีบร้อนกลับบ้าน หากแต่เดินเล่นดูร้านค้าเล็กๆ สองฝั่งของตรอกไปทีละร้าน
ใกล้จะถึงเทศกาลซั่งซื่อแล้ว ในตำบลมีประเพณีลอยโคมบุปผาของเหล่าแม่นางน้อย ช่วงเช้าตรู่หลิวซื่อจึงให้เงินชุยฉวนเป่ามาครึ่งก้วน บอกให้เขาพาน้องสาวไปเลือกซื้อโคมบุปผาสวยๆ กลับมาสักอัน
ฉยงเหนียงนึกถึงเทศกาลซั่งซื่อปีที่นางอายุสิบห้าในชาติก่อน ตอนนั้นนางฉลองอยู่ในวังหลวง แม้จะเรียกว่าฉลองเทศกาล แต่อันที่จริงคือการเข้าวังไปเป็นสหายเพื่อเสริมบรรยากาศฉลองเทศกาลขององค์หญิงยงหยางพระธิดาองค์เล็กที่จยาคังตี้โปรดปรานมากที่สุดต่างหาก
นั่นคือครั้งแรกที่ฉยงเหนียงเข้าวัง แม้นางดูคล้ายสุขุมเยือกเย็น แต่ที่จริงในใจไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย ทุกคำพูดและการกระทำยามอยู่เบื้องหน้าคนในราชวงศ์ล้วนต้องไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง การคุกเข่าหมอบคำนับยังไม่ต้องเอ่ยถึง ลำพังการนั่งเป็นเพื่อนก็ต้องยืดเอวตรงแน่ว ทำเอานางกลับจวนแล้วยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว ได้เล่นสนุกเมื่อไรกันเล่า
อีกทั้งช่วงลอยโคมบุปผา สหายเช่นพวกนางก็ได้แต่มององค์หญิงสนุกสนานอยู่ผู้เดียว
คิดมาถึงตรงนี้ ฉยงเหนียงก็ยิ่งตั้งอกตั้งใจเปรียบเทียบของอยู่หลายร้าน จนกระทั่งเลือกได้โคมบุปผาสีชมพูขนาดเท่าอ่างล้างหน้าที่ทำจากผ้าใยไหมผสมใยป่าน
บนกลีบดอกของโคมบุปผาจะต้องเขียนคำขอพร โดยทั่วไปมักเลือกติดเป็นแถบกระดาษที่เจ้าของร้านเชิญคนมาเขียนคำมงคลไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ฉยงเหนียงติว่าคำเหล่านั้นล้วนดาษดื่นเกินไป นางจึงขอยืมหมึกพู่กันจากเจ้าของร้านแล้วจับพู่กันเขียนกลอนสั้นๆ ลงไปหนึ่งแถว
ชุยฉวนเป่าไม่รู้หนังสือ รู้สึกเพียงว่าอักษรของน้องสาวแสนจะน่ามอง ประกอบกับท่าทางยามเขียนกลอนอันต่อเนื่องล้วนดูลื่นไหล ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจโดยไร้สาเหตุ
รอจนซื้อโคมบุปผาเสร็จ สองพี่น้องก็ค่อยๆ เดินย้อนกลับไป ตำบลฝูหรงไม่ใหญ่โต นอกจากตรอกเล็กที่เงียบสงบคดเคี้ยวก็มีถนนใหญ่เพียงสายเดียวที่ทอดยาวไปเชื่อมกับถนนหลวง
จู่ๆ เสียงม้าร้องฮี้ก็ดังมาให้ได้ยิน ชุยฉวนเป่าหันหน้าไปมองก็เห็นรถม้าที่แสนหรูหราคันหนึ่งพุ่งตรงมา มีบัณฑิตผู้หนึ่งดูท่าจะหลบไม่ทัน กำลังจะถูกรถม้าชนอยู่รอมร่อ
แต่ไรมาชุยฉวนเป่าเป็นคนตรงและมีน้ำใจ สมองไม่ทันจะยั้งคิด ร่างกายก็พุ่งไปเบื้องหน้าช่วยกระแทกบัณฑิตคนนั้นออกไปด้านข้างก่อนแล้ว ทว่าตัวเขาเองกลับหลบไม่พ้น ถูกรถม้าชนล้มในทันที
ฉยงเหนียงตระหนกจนร้องเรียกเสียงลั่น “พี่ชาย!”
พอล้อรถบดทับขาของชุยฉวนเป่าไป เด็กหนุ่มก็เจ็บปวดจนร้องโหยหวนหนึ่งหน
หลังประสบเหตุการณ์นี้ ม้าที่สูญเสียการควบคุมก็ถูกบังคับได้ในที่สุด จากนั้นมันก็หอบหนักน้ำลายฟูมปาก ล้มลงกับพื้นราวหมดสิ้นกำลังวังชา
ฉยงเหนียงรีบวิ่งไปประคองพี่ชาย ส่วนบัณฑิตที่ได้รับการช่วยเหลือผู้นั้นก็ได้สติรีบมาช่วยพยุงอีกแรง