บทที่ห้า
ดังเช่นที่หลิ่วผิงชวนว่าไว้ หลางอ๋องฉู่เสียพำนักอยู่ที่เชิงเขาสยาซานริมลำธารชิวถานที่นอกตำบลฝูหรง ขั้นบันไดหินเบื้องหน้าคฤหาสน์ซึ่งใช้เป็นจวนอ๋องชั่วคราวแห่งนี้ล้วนขัดจนเป็นมุมมน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงลักษณะการจัดวางหินภูเขาภายในคฤหาสน์ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของช่างผู้มีชื่อเสียง
ตลอดทางที่ฉยงเหนียงถูกคุมตัวมาถึงที่นี่ นางนึกถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับฉู่เสียในชาติก่อน ใจกลางฝ่ามือจึงผุดเหงื่อซึมนิดๆ นางไม่มีแก่ใจจะชมทัศนียภาพ รอจนลงจากเกี้ยวแล้ว นางก็ถูกเชิญเข้าห้องครัวเล็กที่อยู่ข้างศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง
พอฉยงเหนียงมองเห็นเขียงกับบรรดาเครื่องครัวในใจก็พลันสงบขึ้น ดูแล้วอีกฝ่ายเพียงต้องการให้นางมาทำขนมจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำสักอย่างสองอย่างแล้วกัน เพียงแต่จะทำลวกๆ มิได้เด็ดขาด ชาติก่อนนางเคยได้ยินมาว่าเพียงเพราะฉู่เสียไม่ชอบใจรสชาติอาหารในวัดเนี่ยนฝ่า ก็ถึงกับสั่งให้ลากตัวพ่อครัวที่ทำอาหารนั้นออกไปโบยด้วยไม้พลองจนตาย
อาจเพราะเห็นแก่หน้าฉู่กุยหนงหรือหลางอ๋องผู้เฒ่าที่ล่วงลับไป จยาคังตี้จึงดีต่อฉู่เสียเป็นพิเศษ พ่อครัวที่ทำอาหารในวัดเนี่ยนฝ่าล้วนเป็นพ่อครัวหลวงที่มีตำแหน่ง ทว่าฉู่เสียกลับนึกจะฆ่าก็ฆ่า สุดท้ายเมื่อถูกคนถวายฎีกาฟ้องร้อง จยาคังตี้กลับโบกมือให้แล้วกันไป ด้วยข้ออ้างอันเหลวไหลที่ว่า ‘พ่อครัวหลวงคิดการไม่ซื่อ หมายจะวางยาพิษปองร้ายหลางอ๋อง ปรักปรำให้ฮ่องเต้กลายเป็นผู้ไร้คุณธรรม’
นั่นก็หมายความว่า…หากนางทำขนมรสชาติไม่ถูกปากฉู่เสีย เขาก็สั่งให้คนฆ่านางได้ไม่ต่างกับบี้มดปลวกตัวหนึ่ง
คิดมาถึงตรงนี้ฉยงเหนียงก็ไม่แคล้วต้องตั้งสติจดจ่ออย่างเต็มที่
ทว่าความชอบของฉู่เสียเป็นเช่นไร นางไม่รู้เลยสักนิด จึงได้แต่ใคร่ครวญจากคำพูดเก่าที่ไม่ปะติดปะต่อของฉังจิ้น ดูเหมือนฉู่เสียจะกลัดกลุ้มรุ่มร้อนใจ ผิดน้ำผิดอากาศ เป็นเหตุให้ไม่เจริญอาหาร ในเมื่อขนมหยกขาวก่อนหน้านี้เข้าตาเขา ก็น่าจะบอกได้ว่าเขาชอบกินอาหารที่สดชื่นลื่นคอและแก้ร้อนใน
ดังนั้นนางจึงนวดแป้งทำขนมหยกขาวก่อน จากนั้นก็ใช้ถั่วงอกที่ขาวดุจหยกมาจับคู่กับเนื้อกุ้งที่สดใหม่ทำเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็น น้ำมันต้นหอม* ที่ใช้ปรุงถั่วงอกนั้นเป็นตำรับลับเฉพาะของฉยงเหนียง ถั่วงอกแต่ละต้นที่เด็ดหัวและหางออกแล้วดูราวแท่งหยกที่เคลือบด้วยน้ำมันแวววาวและมีกลิ่นต้นหอมเข้าเนื้อ ให้ความสดชื่นตัดกับรสหวานของขนมหยกขาวได้พอดี
อย่างน้อยฉยงเหนียงก็ชอบวิธีกินเช่นนี้ รู้สึกว่าช่วยให้เจริญอาหารยิ่งกว่ากินแกล้มกับน้ำชา
รอจนขนมออกจากลังถึงและใช้มีดหั่นเป็นทรงข้าวหลามตัดจัดลงจานเสร็จ อาหารเรียกน้ำย่อยจานเย็นที่รสชาติเข้าเนื้อแล้วก็เสร็จเรียบร้อยเช่นกัน จากนั้นก็ได้ข้ารับใช้เป็นผู้ยกออกไปถึงศาลาริมน้ำที่อยู่ด้านข้าง
ทว่าไม่ทันไรก็มีคนมาเรียกฉยงเหนียง บอกเพียงว่าหลางอ๋องไม่พอใจที่บนขนมไร้ภาพวาด สั่งให้นางไปเติมภาพเพิ่ม
เช่นนี้เองฉยงเหนียงจึงถูกพาตัวไปยังศาลาริมน้ำ
ศาลาหลังนี้สร้างตามแบบโบราณของราชวงศ์เก่า นอกราวกั้นมีสระน้ำที่ก่อขึ้นด้วยก้อนหิน บนระเบียงที่อยู่ด้านข้างมีกระเรียนสองตัวเดินทอดน่องเลียบน้ำอยู่
กางกั้นด้วยม่านแพรบางเบาที่พลิกพลิ้วล้อลม ฉยงเหนียงมองเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่หล่อเหลาเหนือสามัญผู้หนึ่งกำลังอิงตั่งนุ่มที่สลักลวดลายพลางอ่านตำราอยู่ในศาลาริมน้ำแห่งนั้น กระทั่งนางเข้ามาในศาลาแล้ว เขาก็ไม่ได้ช้อนตาขึ้น
ในใจฉยงเหนียงพะวงถึงอาการบาดเจ็บของชุยฉวนเป่า เพียงอยากรับใช้ท่านผู้นี้ให้กินขนมอิ่มหนำเร็วๆ นางจะได้กลับบ้านพร้อมพี่ชายเสียที ดังนั้นนางจึงรีบนั่งคุกเข่าข้างโต๊ะตัวเล็กที่อยู่อีกด้าน มือหยิบพู่กันก้ามปูที่จัดเตรียมไว้ด้ามนั้น จุ่มน้ำละลายผงหงฉวี่แล้ววาดภาพวิหคบุปผาเช่นเคย
การวาดภาพบนขนมจะต้องประณีตบรรจงเป็นพิเศษ นางจึงมิอาจไม่เพิ่มความระวังอย่างยิ่งยวด รอจนพู่กันขีดสุดท้ายวาดเสร็จ ริมฝีปากแดงสดใสของนางถึงได้เผยอขึ้นนิดๆ พรูลมหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ทว่าเงยหน้าขึ้นหนนี้ นางกลับสบกับดวงตาเรียวยาวลุ่มลึกคู่หนึ่งเข้าอย่างจัง