X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เกิดใหม่อีกที ไม่ขอสามีสกุลหลี่ เล่ม 5 บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 1

ขณะลวี่อวิ๋นเข้ามาในมือได้ถือห่อผ้าที่นางนำมาเมื่อวานด้วย คิดว่าคงจะเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเข้ามานางก็คุกเข่าให้เสิ่นหยวนทันที ก่อนกล่าวว่า “เป็นบ่าวที่ไร้วาสนา มิอาจปรนนิบัติรับใช้นายท่านและฮูหยินได้ บ่าวเต็มใจจะกลับไปปรนนิบัติรับใช้ไท่ไท่เจ้าค่ะ” พูดเหมือนว่าล้วนเป็นความผิดของตนเองก็มิปาน

เสิ่นหยวนรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเงยหน้ามองลวี่อวิ๋น

เสื้อตัวยาวกุ๊นขอบสีม่วงอ่อนดอกติงเซียง คู่กับกระโปรงบุนวมสีขาว เส้นผมดำขลับประหนึ่งขนนกกาน้ำ หน้าตาก็งามพิสุทธิ์ เป็นหญิงสาวที่รู้ความรู้กาลเทศะนางหนึ่ง

เสิ่นหยวนคิดแล้วก็สั่งไฉ่เวย “เจ้าไปหยิบตั๋วเงินสองร้อยตำลึงมา”

ไฉ่เวยรับคำ เดินเข้าห้องนอนของเสิ่นหยวน เปิดตู้ใบเล็กลงรักฝังมุก หยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงสองใบออกมาจากกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งในตู้ จากนั้นก็ปิดประตูตู้ แล้วเดินออกมาอีกครั้ง

เสิ่นหยวนทำท่าบอกให้ไฉ่เวยนำตั๋วเงินมอบให้ลวี่อวิ๋น

เงินสองร้อยตำลึงมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย! เห็นเช่นนี้ลวี่อวิ๋นก็ตกใจจนสะดุ้ง รีบปฏิเสธ “บ่าวมิกล้ารับ ท่านเก็บกลับไปเถิดเจ้าค่ะ!”

“เจ้ารับเอาไว้เถอะ!” เสิ่นหยวนกล่าวเสียงอ่อนโยน “ถือเสียว่าเป็นการชดเชยจากข้า”

เสิ่นหยวนและลวี่อวิ๋นต่างรู้แก่ใจดีว่าเจี่ยงซื่อเป็นคนรักหน้าตา เสิ่นหยวนส่งลวี่อวิ๋นกลับไปยามนี้ เจี่ยงซื่อมีหรือจะเก็บนางไว้รับใช้ข้างกายต่อให้เห็นแล้วโมโหทุกวัน จะต้องจับลวี่อวิ๋นแต่งงานออกไปแน่นอน เกรงว่าคงต้องแต่งไปไกลๆ อีกด้วย ดีไม่ดีอาจเป็นในพื้นที่กันดารห่างไกลสักแห่ง

ลวี่อวิ๋นได้ยินดังนี้ขอบตาก็เรื่อแดงขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่

นางรับตั๋วเงินสองร้อยตำลึงนั้นมาอย่างเงียบๆ ก่อนพับเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วฟุบลงโขกศีรษะให้เสิ่นหยวนทันที

เงินสองร้อยตำลึงนี้เพียงพอจะทำให้นางไม่ต้องกังวลเรื่องการกินการอยู่ไปทั้งชาติแล้ว บุญคุณในครานี้ของเสิ่นหยวน นางจะจดจำไว้เสมอ

เสิ่นหยวนเรียกไฉ่เวยให้ประคองลวี่อวิ๋นลุกขึ้น ส่วนตนเองก็ลุกขึ้นจากตั่งหลัวฮั่นเพื่อจะเดินไปยังเรือนของเจี่ยงซื่อเช่นกัน

แม้รู้ทั้งรู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องคอยมองสีหน้าของเจี่ยงซื่อ ฟังอีกฝ่ายกล่าววาจาค่อนแคะ แต่นางก็ต้องไปเผชิญหน้า อย่างไรก็มิอาจปล่อยให้ลวี่อวิ๋นอยู่ในเรือนจิ้งหยวนต่อไปได้จริงๆ

คนเราก็เป็นเช่นนี้ ที่ผ่านมาเสิ่นหยวนไม่รู้สึกอะไรกับหลี่ซิวเหยา เพียงแค่อยากอยู่กับเขาอย่างเคารพและให้เกียรติกันไปชั่วชีวิต หากเขาต้องการรับอนุ นางก็คงจะยังพยายามทำหน้าที่ของภรรยา ช่วยจัดการให้เขาอย่างเต็มที่ เนื่องจากเวลานั้นในใจนางไม่มีเขา

แต่บัดนี้นางมีใจให้หลี่ซิวเหยาแล้ว จะยังทนมองดูสตรีอื่นปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขาอีกได้อย่างไรเล่า

 

ครั้นมาถึงเรือนใหญ่สาวใช้เข้าไปรายงานเสร็จก็เปิดม่านเชิญเสิ่นหยวนเข้ามานั่งรอในห้องกลาง

ทว่าเจี่ยงซื่อมิได้ออกมา ผู้ที่ออกมาคือซุนมามา

ซุนมามายอบตัวคารวะเสิ่นหยวนพลางเอ่ยเรียกว่า “ฮูหยินใหญ่” ก่อนเอ่ยว่า “เช้านี้ไท่ไท่อาการปวดศีรษะกำเริบ ยามนี้กำลังนอนอยู่ ฮูหยินใหญ่มีธุระอะไรก็บอกบ่าวมาได้ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปแจ้งให้ไท่ไท่ทราบเจ้าค่ะ”

จะอย่างไรเจี่ยงซื่อก็ถือเป็นแม่สามีของเสิ่นหยวน เมื่อรู้ว่านางป่วยก็สมควรต้องไปเยี่ยมสักหน่อย

เสิ่นหยวนจึงลุกขึ้นยืน กล่าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง “อะไรนะ! ท่านแม่ไม่สบายหรือ ซุนมามาช่วยนำทางที ข้าจะไปดูท่านแม่เสียหน่อย”

ซุนมามารีบบอกว่า “ท่านหมอบอกไว้แล้วว่าอาการป่วยของไท่ไท่ต้องให้พักผ่อนเงียบๆ อีกทั้งไท่ไท่ก็เพิ่งจะหลับไป ยามนี้ยังไม่เหมาะจะไปเยี่ยมเจ้าค่ะ”

เสิ่นหยวนเห็นซุนมามามีท่าทางเช่นนี้ก็รู้ว่าเจี่ยงซื่อไม่ได้นอนหลับ อีกฝ่ายก็แค่ไม่อยากพบนางเท่านั้น เกรงว่าเรื่องปวดศีรษะนี้ก็ใช้หลอกนางเช่นกัน

เมื่อวานเจี่ยงซื่อยังพูดคุยกับนางอย่างอ่อนโยนอยู่แท้ๆ ไฉนวันนี้จู่ๆ ก็ไม่อยากพบนางเสียแล้วเล่า

เสิ่นหยวนคิดไม่ออกว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ จึงเลิกคิดเสียเลย แล้วเปลี่ยนมาพูดถึงจุดประสงค์ที่มาเยือนอย่างอ้อมค้อมแทน

ใครจะไปรู้ว่าพอซุนมามาได้ยินก็จะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที “บ่าวเข้าใจความหมายของฮูหยินใหญ่ อีกสักครู่พอไท่ไท่ตื่นแล้ว บ่าวจะแจ้งเรื่องนี้ต่อนางเจ้าค่ะ” ครั้นแล้วก็บอกให้ลวี่อวิ๋นกลับไปยังห้องเดิมของนางก่อน

ต่อจากนั้นซุนมามาก็คุยกับเสิ่นหยวนอีกสองสามคำแล้วเอ่ยปากขอตัว บอกว่าต้องเข้าไปเฝ้าไท่ไท่ ทั้งยังเชิญให้เสิ่นหยวนกลับไปก่อน

เสิ่นหยวนจึงเอ่ยลา หันหลังเดินออกมาข้างนอกเช่นกัน

ถึงอย่างนั้นเสิ่นหยวนก็ยังรู้สึกแปลกใจ เมื่อครู่ซุนมามาไม่ดูมีท่าทางประหลาดใจแม้แต่น้อย กลับคล้ายว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่านางจะพาลวี่อวิ๋นกลับมาส่ง

ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนคิดแล้วก็หันไปมองชิงเหอพลางสั่งนางว่า “เจ้าอย่าเพิ่งกลับไป อยู่สืบข่าวมาทีว่าวันนี้ที่เรือนใหญ่ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”

ชิงเหอรับคำ

เสิ่นหยวนถึงค่อยพาไฉ่เวยเดินไปยังเรือนจิ้งหยวนต่อ

 

จวบจนถึงเวลาเสิ่นหยวนกินอาหารกลางวัน ชิงเหอถึงได้กลับมา

ทว่ามองเห็นเสิ่นหยวนกำลังกินข้าวอยู่ ชิงเหอจึงมิได้ก้าวมารายงานทันที เพียงแค่ยืนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ

อย่างไรก็เป็นเวลาอาหาร จะมารายงานข่าวได้อย่างไรเล่า

แต่เสิ่นหยวนอยากรู้อย่างยิ่งว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงวางชามและตะเกียบในมือลง ก่อนเอ่ยถามชิงเหอ “เจ้าได้ข่าวอะไรมา”

ครานี้ชิงเหอถึงได้ก้าวมารายงาน “บ่าวถามอยู่หลายคน เริ่มแรกไม่มีผู้ใดกล้าพูด ดูเหมือนว่าไท่ไท่จะออกปากห้ามไม่ให้ใครพูดเรื่องที่เกิดเมื่อเช้าออกไป บ่าวหาตัวสาวใช้นางหนึ่งมา แอบมอบขนมจ้างไส้เมล็ดสนที่ท่านให้บ่าวเมื่อวันก่อนให้นางกิน นางถึงได้ยอมปริปากบอกว่าวันนี้นายท่านไปพบและคุยกับไท่ไท่ พอนายท่านจากไป ไท่ไท่ก็โมโหจนล้มหมอนนอนเสื่อเจ้าค่ะ”

ต่อจากนั้นชิงเหอก็เล่าเรื่องที่หลี่ซิวเหยาพูดกับเจี่ยงซื่อเมื่อเช้านี้ให้เสิ่นหยวนฟังอย่างคร่าวๆ

เสิ่นหยวนได้ยินแล้วมุมปากก็โค้งขึ้นมา

นางไม่ชอบเจี่ยงซื่อเลยจริงๆ ชาติก่อนนางได้รับความลำบากจากฝีมือของเจี่ยงซื่อมาไม่น้อย ชาตินี้ก็ยังติดที่ฐานะแม่สามีอีก กระนั้นแม้นางจะชังน้ำหน้าเจี่ยงซื่อเพียงไร แต่ภายนอกก็ยังต้องให้ความเคารพอีกฝ่าย

คิดไม่ถึงว่าหลี่ซิวเหยาจะถึงกับพูดเรื่องเหล่านี้กับเจี่ยงซื่อตรงๆ ซ้ำยังเป็นการทำเพื่อนาง…

เสิ่นหยวนรู้สึกว่าในใจหวานล้ำยิ่งนัก

นางหันหน้าไปมองแสงอาทิตย์ด้านนอก เพิ่งจะเที่ยงตรง กว่าหลี่ซิวเหยาจะกลับมาก็อีกพักใหญ่ ทว่ายามนี้นางเริ่มจะคิดถึงเขาเสียแล้ว

เมื่อก่อนเวลาหลี่ซิวเหยาไปทำงานนางไม่เคยรู้สึกตั้งตารอเขากลับมาเช่นนี้ แต่วันนี้ทั้งวันกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเหมือนนานเป็นปี อยากแต่จะให้หลี่ซิวเหยากลับมาเร็วๆ

หลังจากสั่งให้ชิงเหอและชิงจู๋เก็บจานชามออกไปแล้ว เสิ่นหยวนก็หยิบสะดึงมาเริ่มปักผ้า ทว่าในใจไม่อาจสงบลงได้ เอาแต่คิดถึงหลี่ซิวเหยา ใจลอยอยู่เนืองๆ

แม้แต่ไฉ่เวยยังพูดขึ้นยิ้มๆ อย่างอดไม่ไหว “วันนี้ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ หน้าแดงอยู่ตลอดเชียว ซ้ำยังมีรอยยิ้มอีกด้วย”

เสิ่นหยวนเม้มปาก สองแก้มยิ่งแดงก่ำมากขึ้น

สุดท้ายนางก็วางสะดึงลงบนโต๊ะเล็กแล้วลุกขึ้นยืน เรียกไฉ่เวย “พวกเราไปเดินเล่นในสวนกัน”

ไฉ่เวยรับคำ ก่อนเดินไปเลิกม่านสีเขียวหยกปักลายดอกบนประตูฉลุลาย เชิญให้เสิ่นหยวนเดินออกไป

 

แม้จะอากาศเย็นเนื่องจากเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส จุดที่แดดส่องจึงยังอบอุ่นยิ่ง

มิหนำซ้ำดอกตูมบนต้นอวี้หลันที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะบานแล้ว

ทางด้านหน้าไม่ไกลยังมีดอกชาภูเขาเตี้ยๆ ต้นหนึ่งปลูกอยู่ข้างหินก้อนหนึ่ง ใบสีเขียวเข้ม ดอกตูมสีชมพูกำลังผลิบาน

ยามนี้เสิ่นหยวนอารมณ์ดี ย่อมจะเห็นทุกอย่างดีงามไปหมด

เสิ่นหยวนหยุดฝีเท้าลงข้างดอกชาภูเขา มองดูมันด้วยรอยยิ้มพลางพูดคุยกับไฉ่เวย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่บ้านเดิมของนาง

เสิ่นเฉิงจางยังคงว่างงานอยู่ที่บ้านเช่นเดิม

ขณะเสิ่นหยวนกับหลี่ซิวเหยาไปอวยพรปีใหม่ยังสกุลเสิ่นในวันที่สองเดือนหนึ่ง เหยาซื่อได้เปรยกับเสิ่นหยวนอย่างอ้อมๆ อีกครั้งถึงเรื่องที่อยากให้เสิ่นเฉิงจางกลับไปเป็นขุนนาง อยากให้เสิ่นหยวนช่วยพูดกับหลี่ซิวเหยาสักหน่อย ทว่าเสิ่นหยวนมิได้สนใจ

ส่วนตัวเสิ่นหยวนไม่อยากให้เสิ่นเฉิงจางกลับไปเป็นขุนนางอีกครั้ง

แต่ไรมาเสิ่นเฉิงจางก็เป็นคนหูเบา คิดว่าคงไปได้ไม่ไกลในเส้นทางขุนนางแน่

ยิ่งกว่านั้นเมื่อเย็นวานเสิ่นหยวนยังได้รู้อีกว่าเรื่องที่เสิ่นเฉิงจางกระทำทุจริตเป็นเรื่องจริง จึงยิ่งไม่อยากให้เขากลับไปเป็นขุนนางยิ่งกว่าเดิม

ส่วนเสิ่นหงนั้นแม้เสิ่นเฉิงจางจะไม่ได้เป็นขุนนางแล้ว แต่มีพี่เขยอย่างหลี่ซิวเหยาอยู่ เขาจึงยังสามารถศึกษาในสำนักการศึกษาหลวงต่อไปได้

นิสัยของเสิ่นเซียงดูนิ่งเงียบขึ้นกว่าที่แล้วมาไม่น้อย นางได้พบกับซ่งเฉิงจี้สองครั้ง และรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง ยามนี้จึงเอาแต่ปักชุดแต่งงานอยู่ในบ้าน รอออกเรือนในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้อย่างสบายใจ

เสิ่นเซียวอายุยังน้อย เสิ่นหยวนยังคงไม่วางใจจะมอบเรื่องการแต่งงานในวันหน้าของนางให้เหยาซื่อจัดการ จึงมิพ้นที่เสิ่นหยวนต้องคอยให้ความสนใจแทน

ส่วนด้านคฤหาสน์บรรพบุรุษสกุลเสิ่นนั้น ป้าสะใภ้ใหญ่ได้ส่งข่าวดีมาว่าโจวหมิงฮุ่ยผู้เป็นพี่สะใภ้ได้ตั้งครรภ์แล้ว ทำเอาป้าสะใภ้ใหญ่ดีใจจนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสทุกวัน

เสิ่นหยวนกำลังพูดกับไฉ่เวยว่าอีกสองวันจะไปเยี่ยมโจวหมิงฮุ่ย ทันใดนั้นก็พลันได้ยินคนเรียกตนเองจากด้านหลัง “พี่สะใภ้ใหญ่”

เสิ่นหยวนหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นเซี่ยเจินเจิน

เซี่ยเจินเจินแต่งกายงดงามเรียบร้อย เสื้อผ้าต่วนสีรากบัวลายดอกกล้วยไม้และใบไผ่ บนศีรษะปักด้วยปิ่นหยกเขียวหนึ่งอันและดอกไม้ประดับสองดอก อีกทั้งสีหน้านางดูไม่สู้ดี ยามยิ้มก็ดูจืดเจื่อนยิ่ง

คนทั้งสองคารวะทักทายกันเสร็จ เซี่ยเจินเจินก็กล่าวกับเสิ่นหยวนด้วยใบหน้ายิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ช่างอารมณ์ดีนัก ถึงกับมาชมดอกไม้อยู่ที่นี่”

ระหว่างที่พูดเซี่ยเจินเจินก็พินิจดูเสิ่นหยวนไปด้วย เห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าต่วนสีเหลืองอ่อนลายดอกเหมยกุ๊นขอบขนสัตว์คู่กับกระโปรงผ้าไหมสีเหลืองนวล ดูทั้งมั่งคั่งทั้งสง่างาม

เสิ่นหยวนดูหน้าตาสดใสยิ่ง คิดว่าคงจะอารมณ์ดีมาก ทว่าคิดไปแล้วก็สมควรเป็นเช่นนั้น มีสามีที่ดีต่อตนเองทั้งที เสิ่นหยวนจะอารมณ์ไม่ดีได้อย่างไรเล่า

เซี่ยเจินเจินคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา

เมื่อเย็นวานเซี่ยเจินเจินสลัดยางอายทิ้งไป รวบรวมความกล้าบอกกับหลี่ซิวหยวนว่านางอยากมีลูก ถึงขั้นถอดชุดนอนบนร่างตนออกต่อหน้าเขา

วาจาที่เจี่ยงซื่อพูดต่อหน้าคนทั้งหลายในคืนสิ้นปีทำร้ายจิตใจเซี่ยเจินเจินมากจริงๆ

มิหนำซ้ำเมื่อวานเจี่ยงซื่อยังยกลวี่หลิ่วให้หลี่ซิวหยวน และสามีนางก็มิได้ปฏิเสธ หากเซี่ยเจินเจินยังไม่มีลูกอีก ผู้ใดจะไปรู้ว่าวันหน้าเจี่ยงซื่อจะออกอุบายร้ายอะไรออกมาอีก

แต่คิดไม่ถึงว่าเวลานั้นหลี่ซิวหยวนกลับเพียงปรายตามองเซี่ยเจินเจินปราดหนึ่งแล้วเก็บสายตากลับไป ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า ‘สตรีพึงต้องมีความสำรวม เมื่อก่อนเจ้าก็ทำได้ดี ข้าไม่ชอบที่เจ้าแสดงกิริยารุกเร้าเช่นยามนี้’ พูดพลางพลิกตัวนอนหันหลังให้นาง

เซี่ยเจินเจินได้ยินคำของหลี่ซิวหยวนแล้วก็ทั้งรู้สึกอัปยศอดสูและขุ่นเคืองเดือดดาล นางนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เอาแต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ

ขณะลุกขึ้นจากเตียงยามฟ้าสางดวงตาทั้งสองของนางก็บวมเป่ง ต้องใช้ผ้าร้อนประคบเป็นครู่ใหญ่ ทั้งต้องผัดแป้งลงไปถึงได้มองไม่เห็น

ต่อจากนั้นเซี่ยเจินเจินก็ออกไปคารวะเจี่ยงซื่อที่เรือนใหญ่

แต่มิรู้เหตุใดเจี่ยงซื่อถึงดูมีท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงไม่มีสีหน้าที่ดีให้เซี่ยเจินเจิน ซ้ำยังเอ่ยวาจาค่อนแคะนางอีกมากมาย นางเองก็ทำได้เพียงอดทน

หลังปรนนิบัติเจี่ยงซื่อกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยเจินเจินก็ไปจัดการบรรดาเรื่องที่คนในจวนมารายงานต่อ ยามนี้ถึงเพิ่งจะมีเวลาให้พักหายใจหายคอบ้าง

ทว่าเซี่ยเจินเจินไม่อยากกลับไปเรือนฮุ่ยชุนนัก จึงมาผ่อนคลายอารมณ์ในสวน คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญมาเจอเสิ่นหยวนเข้า

ได้ยินคำของเซี่ยเจินเจินแล้ว เสิ่นหยวนก็กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เมื่อครู่ยามอยู่ในห้องเห็นวันนี้แดดดี จึงอยากจะออกมาเดินเล่นสักหน่อย” ก่อนจะถามเซี่ยเจินเจินว่า “เจ้ามาจากที่ใด”

เซี่ยเจินเจินมุ่นคิ้ว มุมปากยกขึ้นยิ้มเยาะตนเอง “ข้าจะมาจากที่ใดได้อีกเล่า ถ้ามิใช่ไปปรนนิบัติท่านแม่ที่เรือนใหญ่ ก็ต้องไปจัดการงานจุกจิกในจวนที่โถงเล็กด้านหน้าแห่งนั้น”

เสิ่นหยวนได้ยินเซี่ยเจินเจินพูดแฝงด้วยโทสะก็ไม่ได้ต่อบทสนทนา เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ

ครั้นแล้วก็ได้ยินเซี่ยเจินเจินพูดอีกว่า “ตอนข้าอยู่ที่เรือนของท่านแม่ก่อนหน้านี้ ได้ยินสาวใช้สองคนแอบคุยกันว่าตอนกลางวันพี่สะใภ้ใหญ่พาลวี่อวิ๋นกลับไปส่ง ยังพูดด้วยว่าพี่ใหญ่ไปพบท่านแม่ตอนเช้าด้วยจุดประสงค์ที่จะส่งลวี่อวิ๋นกลับไปเช่นกัน ข้านั้นอิจฉาในวาสนาของพี่สะใภ้ใหญ่โดยแท้”

เซี่ยเจินเจินอิจฉาเสิ่นหยวนจริงๆ เพื่อปกป้องเสิ่นหยวนแล้ว หลี่ซิวเหยาถึงกับกล้าโต้เถียงเจี่ยงซื่ออย่างเปิดเผย ในขณะที่หลี่ซิวหยวนไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ออกมาเด็ดขาด

หลี่ซิวหยวนกตัญญูต่อเจี่ยงซื่อยิ่ง เจี่ยงซื่อสั่งอะไร ไม่ว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิดเขาล้วนจะทำตาม ถึงขั้นยังเรียกร้องให้เซี่ยเจินเจินเชื่อฟังเจี่ยงซื่อตามไปด้วย บอกว่าเช่นนี้ถึงจะเป็นการกตัญญูกตเวที

อันที่จริงเซี่ยเจินเจินอยากจะให้หลี่ซิวหยวนปกป้องนางต่อหน้าเจี่ยงซื่อสักครั้ง…แต่นางก็รู้ว่านี่เป็นเพียงความเพ้อฝันของตนเองเท่านั้น

เรื่องที่เซี่ยเจินเจินพูดในวันนี้ล้วนต่อบทสนทนาได้ค่อนข้างยาก ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงยิ้มก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็มีวาสนาเช่นกัน สามารถแต่งงานกับคนที่ตนเองชมชอบได้ นับว่าสมหวังแล้ว”

เทศกาลซั่งหยวนเมื่อปีที่แล้วเสิ่นหยวนได้ยินเซี่ยเจินเจินสารภาพรักกับหลี่ซิวหยวนเองกับหู

เซี่ยเจินเจินได้ยินแล้วก็มีสีหน้าอึ้งงันไปเล็กน้อย

เวลานั้นนางรักและชื่นชมหลี่ซิวหยวนจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะแต่งงานกับเขา แต่หากย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง นางคิดว่าตนเองคงจะไม่แต่งงานอีกแล้ว

ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ปราศจากความอบอุ่น ไม่มีแรงผลักดันให้ฝ่าฟันชีวิตไปได้

ทว่าเซี่ยเจินเจินก็มิได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มเยาะตนเอง จากนั้นก็กล่าวกับเสิ่นหยวนอีกว่า “ช่วงก่อนข้าว่าง จึงได้ปักภาพทิวทัศน์ออกมา อยากจะนำมาทำเป็นฉากกั้น หากยามนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่มีธุระก็ไปนั่งที่เรือนข้าเถิด ดูภาพที่ข้าปักสักหน่อยดีหรือไม่”

เสิ่นหยวนไม่อยากไปจึงปฏิเสธในทันที

แต่ไม่รู้ไฉนวันนี้เซี่ยเจินเจินถึงได้มีท่าทางกระตือรือร้นอย่างที่สุด รบเร้าให้เสิ่นหยวนไปให้ได้ ซ้ำยังบอกว่าเสิ่นหยวนแต่งเข้ามาสามเดือนกว่าแล้ว กลับไม่เคยไปเยือนเรือนของนางสักครั้ง วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญเสิ่นหยวนไปนั่งให้ได้

ในช่วงสามเดือนกว่านี้เซี่ยเจินเจินมานั่งที่เรือนจิ้งหยวนหลายหน ตามมารยาทแล้วเสิ่นหยวนก็ควรไปนั่งที่เรือนของเซี่ยเจินเจินบ้างจริงๆ

เสิ่นหยวนจึงมองแสงอาทิตย์เหนือศีรษะ คิดว่าตอนนี้ยังห่างจากเวลาเลิกงานของขุนนาง หลี่ซิวเหยาและหลี่ซิวหยวนคงไม่กลับมาเร็วปานนี้แน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางไปนั่งที่เรือนฮุ่ยชุนเสียหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก นางจึงตอบรับไป

เรือนฮุ่ยชุนอยู่ไม่ห่างจากที่สวนนี้นัก เวลาเพียงสองถ้วยชาก็เดินมาถึง

ประตูใหญ่ทาสีเขียว กำแพงขาวกระเบื้องดำ ใต้ชายคาแขวนโคมแดงไว้สองดวง หน้าประตูยังปลูกต้นหลิวที่ลำต้นมีขนาดเท่าปากชามไว้ด้วยต้นหนึ่ง ทว่ายามนี้อากาศยังเย็นอยู่ ใบหลิวจึงยังไม่งอกออกมา มีเพียงกิ่งเกลี้ยงๆ แกว่งไกวเบาๆ ท่ามกลางสายลมเย็น

เสิ่นหยวนพลันหยุดฝีเท้าลง จู่ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าเดินเข้าไป

ชาติก่อนนางใช้ชีวิตอยู่ในเรือนฮุ่ยชุนนี้อย่างเงียบเหงาเดียวดายถึงห้าปี

เวลาเกือบสองพันวันนั้นนางไม่อยากหวนนึกถึงอีก เดิมทีก็คิดมาตลอดว่าตนเองวางเฉยกับเรื่องราวในชาติก่อนได้มากพอแล้ว แต่ครั้นมายืนอยู่หน้าประตูเรือนฮุ่ยชุนในยามนี้ นางก็อดจะรู้สึกแสบจมูกไม่ได้

ที่แท้มิใช่ข้าวางเฉยได้ ก็แค่ไม่กล้าหวนนึกถึงเท่านั้นเอง

เซี่ยเจินเจินเห็นเสิ่นหยวนหยุดเดินก็หันหน้ามาเรียกนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ เชิญเข้ามา”

เรื่องที่ตกปากรับคำไปแล้ว ยามนี้จะกลับคำได้อย่างไร อีกทั้งเสิ่นหยวนก็รู้สึกว่าเรื่องในชาติก่อนได้ผ่านไปแล้ว นางในตอนนี้มีชีวิตที่ดียิ่ง จะปล่อยให้เรื่องในชาติก่อนมารบกวนใจตนเองได้อย่างไรกัน สักวันก็ต้องเผชิญหน้า

ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มให้เซี่ยเจินเจิน ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าประตูเรือน

เสิ่นหยวนจำได้ว่าขณะนางอาศัยอยู่ในเรือนฮุ่ยชุนเมื่อชาติก่อนไม่มีบ่าวรับใช้มาเก็บกวาดทำความสะอาด พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีใบไม้ร่วงอยู่เต็มลานเรือนและขั้นบันได มองไปทางใดก็เห็นแต่ความทรุดโทรม

ทว่าเมื่อเดินเข้ามายามนี้กลับเห็นไผ่เขียวปลูกอยู่ข้างกำแพง ต้นทับทิมที่ข้างทางเดินศิลาเขียว และต้นกล้วยที่ข้างภูเขาจำลองซึ่งล้วนแต่เจริญงอกงามดี ในลานเรือนทุกซอกทุกมุมเก็บกวาดเรียบร้อยยิ่ง ด้านขวามือยังมีซุ้มจื่อเถิง เพิ่มมาซุ้มหนึ่ง ข้างใต้มีโต๊ะและเก้าอี้ศิลาวางไว้ด้วย คิดว่าคงเป็นเซี่ยเจินเจินให้คนมาทำ

เสิ่นหยวนมองดูสิ่งเหล่านี้แล้วก็พลันรู้สึกโล่งใจ หายติดค้างในใจทันใด

ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับชาติก่อนแล้ว…

ในชาตินี้นางเป็นภรรยาของหลี่ซิวเหยา ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างในชาติก่อนอีก ครั้งนี้ไม่ว่าเรือนฮุ่ยชุนก็ดีหรือหลี่ซิวหยวนก็ช่าง ทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว

เสิ่นหยวนเดินตามเซี่ยเจินเจินเข้าตัวเรือนไปด้วยกัน

ตอนนี้เซี่ยเจินเจินกับหลี่ซิวหยวนอาศัยอยู่ที่นี่ ความชมชอบของพวกเขาต่างจากเสิ่นหยวน ของประดับตกแต่งในเรือนย่อมต่างจากชาติก่อนของนาง

ชาติก่อนเสิ่นหยวนชอบสิ่งของที่ดูหรูหรา ดังนั้นในเรือนจึงถูกนางตกแต่งจนดูหรูหราโอ่อ่า แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเจินเจินชอบสิ่งของที่แฝงความลุ่มลึก ในเรือนตอนนี้จึงตกแต่งได้งามสง่ายิ่ง

เสิ่นหยวนพินิจดูภายในห้องเพียงสองอึดใจ จากนั้นก็หันไปดูภาพที่เซี่ยเจินเจินปัก

เซี่ยเจินเจินปักภาพของกัวซี ด้านบนมีภูเขาที่อยู่ห่างไกล มีต้นสนโบราณ มีดอกกล้วยไม้ มองออกได้ว่าอีกฝ่ายสิ้นเปลืองเวลาและกำลังไปมากเพียงใด

เซี่ยเจินเจินกำลังพูดกับเสิ่นหยวนว่า “…ภาพนี้ข้าเริ่มปักตั้งแต่ยังอยู่ที่บ้านเดิม แต่ยังปักไม่เสร็จ จึงนำติดตัวมาด้วย ครึ่งปีกว่ามานี้ข้าถูกงานจุกจิกสารพัดอย่างรุมเร้ามาตลอด แทบจะไม่มีเวลาว่างมาปักต่อ ไม่ง่ายเลยกว่าจะปักเสร็จเมื่อสองวันก่อน ข้าได้ยินว่าฝีมือปักผ้าของพี่สะใภ้ใหญ่นั้นดียิ่ง จึงอยากขอให้ท่านมาช่วยดูสักหน่อย”

เสิ่นหยวนเห็นภาพที่ปักออกมานี้มีสีสันเข้ากันจนดูงดงามเรียบร้อย ฝีเข็มก็ละเอียดประณีต จึงเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ภาพนี้ของเจ้าปักได้ดียิ่งนัก จนข้าไม่รู้ว่าควรชมอย่างไรแล้ว” ก่อนจะยิ้มพลางกล่าวกับเซี่ยเจินเจินอีกว่า “คิดว่าน้องรองจะต้องชอบภาพที่เจ้าปักแน่นอน”

ในอดีตตอนที่เสิ่นหยวนยังชอบหลี่ซิวหยวนอยู่ได้เคยสืบความชมชอบของเขา จึงรู้ว่าเขาชอบภาพวาดของกัวซี เซี่ยเจินเจินปักภาพนี้ออกมาคิดว่าก็คงเพื่อเอาใจหลี่ซิวหยวน

รอยยิ้มบนหน้าเซี่ยเจินเจินแข็งค้างไปเล็กน้อย

เดิมทีนางมิใช่คนชอบงานเย็บปัก ตอนแรกที่ปักภาพของกัวซีนี้เป็นเพราะอยากเอาใจหลี่ซิวหยวนจริงๆ นางยังจำได้ว่าขณะที่นางเริ่มปักมันทั้งหัวใจมีแต่ความหวานล้ำ คิดอยู่ตลอดว่าเมื่อปักเสร็จแล้วมอบให้หลี่ซิวหยวน ไม่รู้บนหน้าเขาจะมีความประหลาดใจเพียงใด

ทว่าหลังจากเซี่ยเจินเจินแต่งเข้ามาหลี่ซิวหยวนก็เห็นนางปักภาพนี้เป็นประจำ แต่บนหน้าเขากลับไม่มีความประหลาดใจหรือดีใจแม้แต่น้อย

คล้ายไม่ว่ากับผู้ใด ทั้งตัวนางหรือแม้กระทั่งเจี่ยงซื่อ หลี่ซิวหยวนล้วนมีแต่สีหน้าเฉยชามอบให้ ไม่เคยมีเวลาที่เสียกิริยามาก่อน คิดว่าเขาคงเป็นคนที่มีนิสัยเช่นนั้นกระมัง

เพียงแต่เซี่ยเจินเจินพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

คืนวันเทศกาลซั่งหยวนเมื่อปีก่อนนั้นนางมองเห็นสีหน้าไม่พอใจของหลี่ซิวหยวนยามเผชิญหน้ากับเสิ่นหยวนด้วยตาตนเอง มิหนำซ้ำยังได้ยินเขาเรียกชื่อของเสิ่นหยวนอย่างโมโหเองกับหูด้วย

ต่อมานางเอ่ยถึงเสิ่นหยวนต่อหน้าหลี่ซิวหยวนอีกหลายครั้ง เขาก็ดูมีท่าทางรำคาญอย่างที่สุด

เหมือนว่าหลี่ซิวหยวนจะปฏิบัติต่อเสิ่นหยวนต่างออกไปบ้าง…

ระหว่างคนทั้งสองจะเป็นอย่างที่เสิ่นหยวนบอกเท่านั้นหรือ เคยบังเอิญพบหน้ากัน หลี่ซิวหยวนเหมือนจะเข้าใจนางผิด ฉะนั้นเวลาตนเอ่ยถึงนางต่อหน้าเขา หลี่ซิวหยวนถึงได้โมโหขุ่นเคืองยิ่ง?

เป็นความเข้าใจผิดเช่นไรกันแน่ถึงทำให้ยามหลี่ซิวหยวนได้ยินชื่อเสิ่นหยวนแล้วจะมีอาการตอบสนองต่างไปจากปกติ

ในใจเซี่ยเจินเจินอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ นางมองเสิ่นหยวน เห็นอีกฝ่ายยังคงเพ่งพินิจภาพที่นางปักอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ด้วยเหตุนี้เซี่ยเจินเจินใคร่ครวญดูอีกทีก็มองว่าตนเองคิดมากไปแล้ว ยามนี้เสิ่นหยวนดูมีสัมพันธ์กับหลี่ซิวเหยาดียิ่งยวด ระหว่างนางกับหลี่ซิวหยวนจะไปมีเรื่องอะไรได้อีกเล่า มิหนำซ้ำระยะนี้เวลาหลี่ซิวหยวนมองเห็นเสิ่นหยวนก็ล้วนมีท่าทีเย็นชาอย่างที่สุด

เซี่ยเจินเจินจึงเอ่ยปากคุยกับเสิ่นหยวนขึ้นมาอีกครั้ง เชิญอีกฝ่ายไปนั่งบนตั่งหลัวฮั่นในห้องกลาง ทางหนึ่งเรียกให้สาวใช้ยกชาและกล่องขนมมา อีกทางก็ปรึกษากับเสิ่นหยวนว่าหากใช้ภาพนี้มาทำเป็นฉากกั้น โครงฉากควรใช้ไม้ใดมาทำ รวมถึงเรื่องจำพวกว่าบนตัวโครงต้องสลักลายหรือไม่ ถ้าสลักจะสลักลายอะไร

ระหว่างที่พวกนางกำลังคุยกันก็พลันได้ยินเสียงแมวร้องขึ้นมา จากนั้นก็มองเห็นลูกแมวตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาจากนอกห้อง เป็นแมวสีขาวหิมะ มีเพียงปลายหูขวาที่เป็นสีดำ ยังดูเล็กอยู่มาก มือข้างเดียวก็สามารถอุ้มขึ้นมาได้

เสิ่นหยวนมองเห็นแมวตัวนี้ก็มีอาการอึ้งงันอยู่บ้าง

ชาติก่อนนางเก็บลูกแมวยังไม่หย่านมตัวหนึ่งได้จากเรือนด้านหลังของเรือนฮุ่ยชุน มันมีสีขาวหิมะทั้งตัว และมีเพียงปลายหูขวาที่มีสีดำเช่นนี้ ต่อมานางก็เลี้ยงแมวตัวนั้นไว้ตลอด เวลาเบื่อๆ ก็จะคุยกับมัน หลังจากที่นางถูกพิษจนสองตามืดบอด ในใจก็ยังคงพะวงว่าแมวตัวนั้นจะหิวโหยหรือไม่

คิดไม่ถึงว่าชาตินี้จะยังได้เห็นลูกแมวตัวนี้อีก

มีสาวใช้อุ้มลูกแมวตัวนั้นขึ้นมา เซี่ยเจินเจินรับมาประคองไว้ในมือ ก่อนกล่าวยิ้มๆ กับเสิ่นหยวน “ข้าเก็บได้จากเรือนด้านหลังเมื่อสองวันก่อน เวลานั้นเจ้านี่ดูน่าสงสารยิ่ง ข้าจึงสั่งให้คนเลี้ยงดูมันอย่างดี แต่มันกลับเป็นเจ้าแมวที่เรื่องมาก ทุกวันนอกจากนมวัวก็ไม่ยอมกินยอมดื่มอย่างอื่น”

เซี่ยเจินเจินยิ้มขึ้นมาอีก “จะว่าไปเจ้านี่ก็ได้อาศัยใบบุญพี่สะใภ้ใหญ่ มันยังเล็ก ไม่อาจกินของอย่างอื่นได้ ทำเอาข้าร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต่อมาได้ยินว่าในโรงม้ามีแม่วัวอยู่ตัวหนึ่ง เป็นวัวที่พี่ใหญ่ซื้อมาไว้ให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้ดื่มนมอุ่นๆ โดยเฉพาะ ข้าจึงให้สาวใช้นำเงินไปให้คนที่มีหน้าที่เลี้ยงวัว เพื่อให้เขาเจียดนมวัวมาให้ข้าทุกวัน ต้องขอบคุณนมวัวเหล่านี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าเจ้านี่คงไม่รอดแล้ว”

เซี่ยเจินเจินพูดพลางก้มหน้าลง ใช้นิ้วสะกิดจมูกของลูกแมวน้อยเบาๆ “ไกวไกว รีบขอบคุณฮูหยินใหญ่เร็วเข้า”

คิดว่า ‘ไกวไกว’ คงจะเป็นชื่อที่เซี่ยเจินเจินตั้งให้ลูกแมวตัวนี้ ส่วนชื่อที่ชาติก่อนเสิ่นหยวนตั้งให้มันคือ ‘เสี่ยวเหมาฉิว’

เสิ่นหยวนจึงพูดยิ้มๆ กับเซี่ยเจินเจิน “แค่นมวัวนิดเดียวเท่านั้น มีค่าอะไรกัน วันหน้าหากเจ้าต้องการก็ไปเอามาได้เลย มากเท่าไรก็ได้” ก่อนจะมองลูกแมวน้อยในมืออีกฝ่ายพลางกล่าวอีกว่า “มันดูน่ารักมากจริงๆ ให้ข้าอุ้มหน่อยได้หรือไม่”

เซี่ยเจินเจินยิ้มพลางยื่นลูกแมวน้อยมาให้

เสิ่นหยวนยื่นมือไปรับมาประคองไว้ในมือแล้วมองดูมัน

ลูกแมวน้อยตากลมดิก ลูกตาเป็นสีดำ เสียงร้องฟังดูโตไม่เต็มวัย เสิ่นหยวนมองแล้วก็อดจะยกมือเกาคางมันเบาๆ ไม่ได้

ลูกแมวน้อยหรี่ตาลงด้วยความสบายทันที ทั้งยังส่งเสียงร้องออกมาสองสามครั้ง

เห็นดังนี้เซี่ยเจินเจินก็กล่าวยิ้มๆ “ดูท่าไกวไกวจะชอบให้พี่สะใภ้ใหญ่เกาคางมันยิ่ง”

เสิ่นหยวนยิ้มโดยไม่พูดอะไร

ชาติก่อนนางก็ชอบอุ้มเสี่ยวเหมาฉิวไว้ในอ้อมแขนแล้วเกาคางมันเบาๆ เช่นนี้ เสี่ยวเหมาฉิวใช้ชีวิตผ่านวันเวลาอันเงียบเหงาเดียวดายเป็นเพื่อนนางเกือบสองพันวัน ในใจนางย่อมให้ความสำคัญกับมันมาก

เสิ่นหยวนพลันอยากเอ่ยปากขอเสี่ยวเหมาฉิวกลับไปเลี้ยงกับเซี่ยเจินเจิน แต่ครั้นคิดดูอีกที อีกฝ่ายดูท่าทางชอบเสี่ยวเหมาฉิวอย่างมาก นางจะแย่งของรักของผู้อื่นได้อย่างไรเล่า

มิหนำซ้ำทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องดูที่วาสนา จะอย่างไรชาตินี้ก็เป็นเซี่ยเจินเจินเก็บเสี่ยวเหมาฉิวได้ก่อน…

เรื่องที่พลาดไปแล้วก็ทำได้เพียงปล่อยให้มันเป็นไป

เสิ่นหยวนจึงล้มเลิกความคิดที่จะขอเสี่ยวเหมาฉิวมาจากเซี่ยเจินเจิน นางคิดว่าเซี่ยเจินเจินดูจะชอบเสี่ยวเหมาฉิวออกปานนี้ จะต้องดีต่อมันมากแน่นอน ส่วนเรื่องนมวัวนางจะบอกคนที่มีหน้าที่เลี้ยงวัวเองว่าต่อไปทุกวันให้เขาส่งนมมาให้เซี่ยเจินเจินมากขึ้นหน่อย

เสิ่นหยวนคุยกับเซี่ยเจินเจินต่อโดยที่กอดเสี่ยวเหมาฉิวไว้ในอ้อมแขนอยู่ตลอด เรื่องที่คุยคือบรรดาเรื่องสนุกตอนที่นางเคยเลี้ยงสัตว์เล็กๆ ยามเป็นเด็ก

เซี่ยเจินเจินเองก็บอกกับเสิ่นหยวนว่าตอนยังเด็กเคยเลี้ยงกระต่ายตัวหนึ่ง ทว่าต่อมากระต่ายได้ตายลง ทำให้นางเสียใจอย่างมาก คนทั้งสองคุยกันได้ถูกคอยิ่ง

เวลานี้เองก็เห็นสาวใช้นางหนึ่งเปิดม่านเดินเข้ามายอบตัวคารวะเซี่ยเจินเจิน ก่อนกล่าวว่า “ฮูหยิน หลี่มามาบอกว่าขนมที่ท่านบอกนางเมื่อวานเย็นมีขั้นตอนหนึ่งที่นางลืมไป มิทราบว่าควรทำอย่างไร ในเตาตอนนี้ยังมีไฟอยู่ นางจึงให้บ่าวมาถามท่านเจ้าค่ะ”

หลี่มามาเป็นบ่าวหญิงผู้ดูแลการปรุงอาหารในครัวเล็กของเรือนฮุ่ยชุน เมื่อเย็นวานจู่ๆ เซี่ยเจินเจินก็นึกอยากกินขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ย จึงเรียกหลี่มามาให้นางมาทำในวันนี้

หากแต่หลี่มามาทำไม่เป็น เซี่ยเจินเจินจึงได้อธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดว่าต้องทำอย่างไร คิดไม่ถึงว่านางยังลืมเสียได้

เซี่ยเจินเจินอธิบายวิธีการทำให้สาวใช้ฟังอย่างละเอียดอีกรอบ

แต่เพราะสาวใช้อายุยังน้อยจึงจำได้ไม่หมด และเซี่ยเจินเจินเองก็รู้สึกว่าให้หลี่มามาทำขนมนี้ครั้งแรกเกรงว่าคงจะทำออกมาไม่ได้ ตนเองจำต้องไปทำให้ดูสักหน่อย

ด้วยเหตุนี้เซี่ยเจินเจินจึงกล่าวกับเสิ่นหยวน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปที่ครัวเล็กเสียหน่อย ไม่นานก็กลับมา ท่านรอข้าก่อน ประเดี๋ยวข้าจะเชิญให้ท่านลองกินขนมแป้งกระจับผสมน้ำตาลดอกกุ้ย”

เสิ่นหยวนหันหน้าไปมองแสงอาทิตย์ที่ด้านนอก คิดว่ายังห่างจากเวลาเลิกงานของขุนนางอยู่บ้าง กลับไปก็ว่างงาน อีกทั้งนางเพิ่งได้พบเสี่ยวเหมาฉิว ไม่อยากจะจากไปทันทีเช่นกัน จึงตกปากรับคำไป

เซี่ยเจินเจินจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

ส่วนเสิ่นหยวนก็กอดเสี่ยวเหมาฉิวไว้ในอ้อมแขน ยกมือเกาคางมันต่อ ทางหนึ่งก็พูดกับมันเบาๆ ประหนึ่งว่าย้อนกลับไปในช่วงที่พึ่งพาอาศัยกันเมื่อชาติก่อนก็มิปาน

ขณะกำลังพูดเสิ่นหยวนพลันรู้สึกว่าในห้องสว่างขึ้นกะทันหัน มีคนเปิดม่านออก แสงที่ด้านนอกลอดเข้ามา

เสิ่นหยวนนึกว่าเป็นเซี่ยเจินเจินกลับมาแล้ว จึงเงยหน้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “กลับมาแล้วหรือ”

แต่ครั้นเสิ่นหยวนมองเห็นใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงประตูชัดเจน รอยยิ้มบนหน้านางก็แข็งค้างไปทันใด

เป็นเซี่ยเจินเจินกลับมาเสียที่ใดกัน เป็นหลี่ซิวหยวนต่างหาก!

เพียงแต่ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ไฉนเขาถึงได้กลับมาก่อนเล่า

 

ติดตามตอนต่อไป (คลิก)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: