ห้องหนังสือส่วนหน้าของบิดานี้มีทั้งหมดสามห้อง ห้องกลางเป็นโถงรับแขก ใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไม้มะกล่ำทั้งห้อง ห้องข้างฝั่งตะวันออกเป็นห้องหนังสือ บนชั้นหนังสือติดผนังมีหนังสือวางเรียงราย ห้องข้างฝั่งตะวันตกเป็นที่สำหรับบิดาใช้พักผ่อน มีฉากบังลมปักไผ่เขียววางอยู่ฉากหนึ่ง ที่ด้านหลังเป็นตั่งไม้หนึ่งตัว
คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้กลางโถง ครู่เดียวก็มีสาวใช้ยกชามาให้
เสิ่นหยวนหยิบถ้วยมีฝาปิดขึ้นมาดื่มพลางมองดูแต่ละจุดในห้อง
ข้างในนี้ยังมีสภาพเหมือนในความทรงจำนาง ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว
เซวียอี๋เหนียงยังไม่ดื่มชา แต่กล่าวกับเสิ่นหยวนด้วยถ้อยคำน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ถามเรื่องของนางตอนอยู่ที่บ้านท่านตา รวมถึงเหตุการณ์ระหว่างเดินทางกลับมา ทว่าล้วนถูกเสิ่นหยวนตอบกลับมาด้วยคำพูดผ่านๆ ไม่กี่คำ
นั่งอยู่ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บ่าวชายคนก่อนหน้านี้ก็วิ่งหอบแฮกๆ กลับมาบอกว่านายท่านกลับถึงจวนแล้ว
เสิ่นหยวนวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะเล็กข้างมือ
เพียงครู่เดียวนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง ตามด้วยม่านหน้าประตูถูกเลิกขึ้น ภายในห้องสว่างขึ้นทันที ก่อนจะมีคนเดินเข้ามา
เสิ่นหยวนกับเซวียอี๋เหนียงต่างลุกขึ้นจากเก้าอี้ เซวียอี๋เหนียงก้าวไปต้อนรับ ใบหน้าอมยิ้มพลางกล่าวเสียงนุ่มนวล “นายท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ทั้งยังก้าวไปรับเสื้อคลุมด้วยตนเอง
เสิ่นหยวนเงยหน้ามองบิดาของตน
บิดามีนามว่าเสิ่นเฉิงจาง เป็นบุตรคนรองในตระกูล รูปร่างหน้าตาซูบผอม ไว้หนวดยาวสามปอย ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนที่ภูมิฐาน ซื่อตรง คงแก่เรียนอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนคุกเข่าลง เอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านพ่อ” ทั้งยังก้มตัวลงกล่าวว่า “ลูกอกตัญญูมาคารวะท่านแล้ว”
บนตัวเสิ่นเฉิงจางยังสวมชุดขุนนางสีแดงเข้มอยู่ ตรงเอวมีเข็มขัดทองรัดไว้
เขามองเสิ่นหยวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา วาจาที่เปล่งออกมาก็เยียบเย็นเช่นกัน “ใครเป็นพ่อเจ้า ข้าไม่มีบุตรสาวที่ไร้ยางอายอย่างเจ้า”
เสิ่นหยวนกัดริมฝีปากเบาๆ คุกเข่าอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไร
นางไม่รู้ว่ายามนี้ในใจตนเองรู้สึกเช่นไรต่อเสิ่นเฉิงจางกันแน่
นางเป็นบุตรสาวของเสิ่นเฉิงจาง ในใจบิดาย่อมมีนางอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ในใจเขาฐานะของนางเทียบกับฐานะของเสิ่นหลันไม่ได้เสมอมา
เสิ่นหยวนยังจำได้ว่าชาติก่อนเวลาบิดาพบนางเป็นต้องรังเกียจว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ดุว่านางอย่างรุนแรงทุกครั้งไป มารดาเคยให้ปิ่นลายผีเสื้อเย้าบุปผาฝังทับทิมประดับทองถักกับนางอันหนึ่ง นางปักไว้บนศีรษะ เมื่อบิดาพบเห็นเข้าเขาก็บอกว่านางฟุ่มเฟือยเกินไป แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นนางเห็นบนศีรษะเสิ่นหลันปักปิ่นหยกขาวสลักลายเมฆหลินจือ พอถามดูกลับพบว่าบิดาเป็นผู้มอบให้
นางเองเคยร้องไห้อาละวาด รู้สึกว่าบิดาลำเอียง มารดาก็ปลอบนางว่า ‘เพราะรักมากจึงตำหนิมาก เจ้าเป็นบุตรสาวคนโตสายตรง บิดาเจ้าย่อมจะเข้มงวดกับเจ้ามากกว่าคนอื่น’ ในเวลานั้นนางเชื่อคำมารดา ในใจถึงขั้นรู้สึกยินดี
แต่ระหว่างหลายปีที่นางแต่งไปสกุลหลี่แล้วถูกเมินเฉยไม่เหลียวแลนั้น ว่างๆ นางก็จะรื้อฟื้นแต่ละเรื่องในอดีตเหล่านั้นออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วพินิจพิจารณา จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าบิดาคล้ายรู้สึกละอายใจบางอย่างต่อเซวียอี๋เหนียง เสิ่นหรง และเสิ่นหลันสามแม่ลูก
ประหนึ่งว่าติดค้างพวกเขา จึงอยากจะชดเชยให้อย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นเขาถึงได้อ่อนโยนกับทั้งสามเสมอ ยิ่งกับเซวียอี๋เหนียงยิ่งปฏิบัติด้วยอย่างนุ่มนวล
ทว่ากับมารดา บิดามีเพียงความเคารพให้เท่านั้น เป็นความเคารพอย่างที่สามีภรรยาพึงมีให้ต่อกัน คิดว่าในใจมารดาคงรู้ดีถึงจุดนี้ เพราะชาติก่อนเสิ่นหยวนเคยเห็นนับครั้งไม่ถ้วนว่ามารดานั่งบนเตียงเตาคนเดียว ตามองเหม่อไปนอกหน้าต่าง สีหน้ามีแต่ความเหงาหงอยเดียวดาย
บุรุษผู้หนึ่งรักสตรีนางหนึ่งหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ชัดไปกว่าตัวสตรีนางนั้นเอง
ต่อให้ผ่านมาหลายปีเพียงนี้ แต่เสิ่นหยวนคิดขึ้นมาทีไรในสมองก็ยังคงมีภาพสีหน้าเหงาหงอยเดียวดายของมารดาปรากฏออกมาชัดเจนเช่นเดิม
นางยิ่งกัดริมฝีปากแน่น
ได้ยินเสิ่นเฉิงจางพูดเสียงเย็นอีกว่า “เจ้ามาคุกเข่าอะไรอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวจะทำพื้นห้องหนังสือข้าสกปรก รีบออกไปเสีย!”