เสิ่นหยวนยังคงหมอบอยู่ที่เดิม ทั้งยังพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ เรื่องในตอนนั้นลูกสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านโปรดอภัยให้ลูกสักครั้ง ลูกรับปากว่าต่อไปจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีกเด็ดขาด”
นางเป็นบุตรสาวสกุลเสิ่น อย่างไรก็ต้องกลับมา ในจุดนี้ย่อมหนีไม่พ้น อีกทั้งยังมีน้องชายน้องสาวร่วมอุทรอยู่ที่นี่อีก นางจำต้องอยู่ที่นี่ต่อไป และต้องขอให้บิดาอภัยด้วย
แม้บิดาจะไม่ยุ่งเรื่องในเรือนส่วนใน แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้วเขาก็เป็นเจ้านายของจวนสกุลเสิ่น วันหน้านางจะมีชีวิตเช่นไรในจวนสกุลเสิ่นนี้ล้วนต้องดูว่าบิดามีท่าทีต่อนางอย่างไร
เพียงแต่แม้นางจะยอมรับผิดอย่างจริงใจเช่นนี้ เรื่องเมื่อปีที่แล้วก็ยังคงทำให้ในใจเสิ่นเฉิงจางเดือดดาลเหลือกำลัง มิหนำซ้ำหลังจากเสิ่นหยวนถูกส่งไปบ้านท่านตาได้ไม่นาน เซวียอี๋เหนียงก็นำจดหมายที่เสิ่นหยวนเขียนถึงมารดามาให้เสิ่นเฉิงจางดูอีก
ในจดหมายมีแต่ถ้อยคำต่อว่าต่อขาน ร้องไห้อาละวาดจะกลับเมืองหลวง ซ้ำยังวอนขอมารดาให้ส่งเสริมนางแต่งงานกับหลี่ซิวหยวนด้วย
นางถึงกับไม่รู้จักสำนึกและปรับปรุงตัวเพียงนี้! เสิ่นเฉิงจางโมโหจนสองมือสั่นระริกทันที อยากจะให้ตนเองไม่เคยมีบุตรสาวอย่างเสิ่นหยวนใจแทบขาด ทั้งยังพุ่งไปหามารดาของเสิ่นหยวน ถามนางว่าเป็นมารดาคนเช่นไร ถึงได้สั่งสอนบุตรสาวที่ไร้ยางอายเพียงนี้ออกมา
คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพลิงโทสะในใจเสิ่นเฉิงจางก็ยิ่งลุกโชน
สาวใช้ยกน้ำชามาให้ก็ถูกเขาใช้มือปัดตกพื้น
เครื่องกระเบื้องตกพื้นแตกเสียงดังเพล้ง แทรกด้วยเสียงเจือโทสะของเขา “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูด? ออกไป!”
เสิ่นหยวนกัดริมฝีปากแน่นสุดชีวิต ชั่วครู่ต่อมานางก็ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ ก่อนหมุนตัวเดินออกไปในที่สุด
เซวียอี๋เหนียงเห็นแล้วในใจก็แอบโล่งอก
ทางที่ดีขอให้เสิ่นเฉิงจางโกรธเสิ่นหยวนเช่นนี้ไปตลอด วันหน้านางจะได้ไม่ต้องกลัวเกรงอะไรมากนัก อีกทั้งเรื่องของฮูหยิน…
ตอนนี้เสิ่นเฉิงจางมีท่าทีเช่นนี้ต่อเสิ่นหยวน คิดว่าถึงเสิ่นหยวนเอ่ยเรื่องมารดานางขึ้นมา เขาก็คงอารมณ์เสียด่าว่านางเป็นแน่ จะอย่างไรตอนนั้นตนก็เคยบอกกับเสิ่นเฉิงจางว่าฮูหยินถูกคุณหนูใหญ่ทำให้โมโหหนัก ถึงได้กลัดกลุ้มใจจนป่วยหนักเช่นนั้น ภายหลังพอเพิ่งจะทุเลาขึ้นมาบ้าง คุณหนูใหญ่กลับส่งจดหมายมาเร่งเร้าฮูหยินเป็นประจำ ขอให้ฮูหยินช่วยส่งเสริมนางแต่งงานกับหลี่ซิวหยวนด้วย ฮูหยินถูกโทสะทำร้ายหัวใจ ถึงได้รักษาไม่หายและจากโลกไปเช่นนั้น
เรื่องของฮูหยิน…ทางที่ดีอย่ามีผู้ใดเอ่ยขึ้นมาอีกตลอดกาลเป็นดี
เซวียอี๋เหนียงวางใจแล้ว เห็นเสิ่นเฉิงจางโมโหจนใบหน้าเปลี่ยนสีบ้างแล้ว นางก็เดินไปยกมือแตะขมับสองข้างของเขา ทางหนึ่งนวดขมับให้เขาด้วยแรงพอเหมาะ อีกทางก็เอ่ยเตือนเสียงอ่อนเสียงหวาน “นายท่านอย่าโมโหเกินไป คุณหนูใหญ่มีนิสัยรั้นเช่นนี้อยู่แล้ว เวลาชอบอะไรหรือผู้ใดก็จะต้องเอามาครอบครองให้ได้ ท่านใช่ว่าจะไม่ทราบ เหตุใดต้องโมโหจนเป็นเช่นนี้ด้วย หากโมโหจนกระทบกระเทือนสุขภาพท่าน ผู้น้อยกับหรงเกอ รวมถึงหลันเจี่ยจะทำอย่างไร พวกเราสามแม่ลูกล้วนต้องพึ่งพานายท่านนะเจ้าคะ”
คำพูดประเภทเป็นที่พึ่งพานี้บุรุษมักจะชอบฟัง ด้วยทำให้เขาเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาในใจ
เสิ่นเฉิงจางรู้สึกว่าโทสะในใจคลายลงเล็กน้อยทันที
เขายกมือกุมมือบางขาวผ่องของเซวียอี๋เหนียงที่แตะขมับเขาเอาไว้ ก่อนถอนหายใจกล่าวว่า “นางลูกเนรคุณคนนี้! ข้าถูกนางทำให้โมโหมากจริงๆ หากไม่ใช่ท่านพ่อตาเขียนจดหมายมาบอกว่าจะให้นางกลับมาเมืองหลวง ข้าก็อยากให้นางอยู่ที่ฉางโจวไปชั่วชีวิตนัก ถือเสียว่าไม่เคยมีบุตรสาวคนนี้”
เซวียอี๋เหนียงกำลังจะเอ่ยปากพูด กลับได้ยินเสียงบ่าวชายดังขึ้นอย่างระมัดระวังที่นอกประตู “นายท่าน?”
เสิ่นเฉิงจางขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง “มีอะไร!”
เขาได้ยินบ่าวชายกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “นายท่าน คุณหนูใหญ่กำลังคุกเข่าอยู่ในลานเรือน ไม่ว่าพวกบ่าวจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร คุณหนูใหญ่ก็เอาแต่คุกเข่าไม่ยอมจากไป ท่านเห็นว่าควรทำเช่นไรดีขอรับ”
เสิ่นเฉิงจางเงียบไป
อันที่จริงเมื่อครู่นี้ขณะเสิ่นหยวนคุกเข่าหมอบกับพื้นพูดว่าตนเองสำนึกผิดแล้ว เสิ่นเฉิงจางก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน มาตอนนี้เสิ่นหยวนทำเช่นนี้อีก เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจกว่าเดิม
ในอดีตเสิ่นหยวนทำความผิดให้เขาไม่พอใจเป็นเนืองนิตย์ ทุกครั้งยามเขาดุนาง นางล้วนแต่ทำคอแข็ง อย่างไรก็ไม่ยอมรับผิด ทว่าบัดนี้…
เสิ่นเฉิงจางไม่ได้พูดอะไร
ในใจเซวียอี๋เหนียงเองก็ตระหนกตกใจอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
นับตั้งแต่เจอหน้าเสิ่นหยวนก่อนหน้านี้ นางก็พอจะรู้สึกแล้วว่าเสิ่นหยวนเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก มาบัดนี้นางถึงขั้นรู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านนอกนั้นมิใช่เสิ่นหยวนเลยทีเดียว
ไฉนอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนไปได้มากเพียงนี้