เซวียอี๋เหนียงรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้างอย่างอธิบายไม่ได้ นางรีบเอ่ยเรียก “นายท่าน…”
เดิมตั้งใจจะพูดอะไรสองสามคำ ทางที่ดีคือทำให้เสิ่นเฉิงจางหงุดหงิดต่อการกระทำพรรค์นี้ของเสิ่นหยวน แต่เสิ่นเฉิงจางกลับคิดว่านางจะขอความเมตตาแทนเสิ่นหยวน เขาจึงยกมือขึ้นเป็นการห้ามไม่ให้นางพูดต่อ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าไม่ต้องขอร้องแทนนาง นางจะคุกเข่าก็ปล่อยให้นางทำไป”
เขาจะคอยดูว่าคราวนี้นางสำนึกผิดและยอมปรับปรุงตัวจากใจจริงหรือไม่
เซวียอี๋เหนียงเห็นเสิ่นเฉิงจางพูดเช่นนี้ คำพูดที่เตรียมไว้เหล่านั้นก็พูดไม่ออกแล้ว
วันนี้เป็นวันฟ้าครึ้ม อากาศเย็น ยังไม่ถึงยามโหย่ว ฟ้าก็เริ่มมืด
บ่าวชายไล่จุดโคมที่แขวนตามระเบียง แสงเทียนในห้องหนังสือสว่างขึ้นแล้ว มีสาวใช้ยกกล่องอาหารเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
เสิ่นหยวนยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่ในลานเรือน ร่างไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ไฉ่เวยมองอยู่ข้างๆ รู้สึกทรมานใจยิ่งนัก จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม “คุณหนู ท่านลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ ในใจนายท่านยังโมโหท่านอยู่ ถึงท่านคุกเข่าต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้รอสองสามวันให้นายท่านหายโมโหก่อน ท่านค่อยมาหาใหม่ดีกว่า”
ฉางหมัวมัวก็เอ่ยโน้มน้าวว่า “คุณหนู ท่านรีบลุกขึ้นเถิด ท่านคุกเข่าอยู่เช่นนี้ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนหาได้ขยับตัวไม่
ข้าไม่มีเวลามากพอถึงขั้นรอให้ท่านพ่อมายกโทษให้ข้าเองได้
บิดาดีต่อเซวียอี๋เหนียงเพียงนั้น เป็นแค่อนุก็ยังให้นางดูแลเรื่องในเรือนส่วนในของจวนสกุลเสิ่น เห็นได้ว่าเขาเชื่อใจนางมากเพียงไร อีกทั้งเมื่อผ่านช่วงปีใหม่เริ่มฤดูใบไม้ผลิมารดาก็จะจากไปครบหนึ่งปี บิดาไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์ให้มารดาอีก
แม้ว่าชาติก่อนบิดาจะไม่ได้ยกเซวียอี๋เหนียงขึ้นเป็นภรรยาเอก แต่ชาตินี้ผู้ใดจะไปรู้เล่า อย่างไรเซวียอี๋เหนียงก็ได้รับความโปรดปรานจากบิดาออกปานนั้น อีกทั้งอีกฝ่ายก็มีบุตรชาย และหงเอ๋อร์ น้องชายนางก็มิได้เป็นที่รักใคร่ของบิดา…
ไฉ่เวยกับฉางหมัวมัวเห็นว่าโน้มน้าวเสิ่นหยวนไม่ได้จึงแต่ถอนหายใจอยู่ข้างๆ
ส่วนภายในห้องหนังสือเสิ่นเฉิงจางนั่งอยู่ริมโต๊ะกลม เซวียอี๋เหนียงยืนอยู่ข้างเขา ในมือจับตะเกียบงาช้างคีบกับข้าวให้เขาอยู่
เสิ่นเฉิงจางเป็นคนให้ความสำคัญกับสุขภาพ อาหารเย็นจึงเน้นรสอ่อน กับข้าวบนโต๊ะล้วนเป็นจานผัก มีตีนไก่ผัดเป็นจานเนื้อเพียงจานเดียว โดยเนื้อไก่นั้นเอาไปลวกน้ำก่อนแล้ว
เซวียอี๋เหนียงคีบหน่อไม้ผัดใส่จานเล็กลายครามตรงหน้าเสิ่นเฉิงจาง ก่อนจะหันไปคีบหน่อไม้น้ำดองต่อ
บนข้อมือนางสวมกำไลหยกเขียววงหนึ่ง แม้เนื้อหยกจะธรรมดา แต่เมื่ออยู่บนข้อมือของนางก็ยังขับให้ดูขาวปานหิมะแรก
เสิ่นเฉิงจางเห็นกำไลหยกเขียววงนี้ ดวงตาก็มีแววอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมา
“กำไลหยกเขียววงนี้เป็นของที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อตอนนั้น?”
เซวียอี๋เหนียงได้ยิน บนหน้าก็มีเลือดฝาดขึ้นมาน้อยๆ
นางก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย มองกำไลบนข้อมือ เสียงนุ่มนวลปานสายน้ำวสันต์ “นายท่านยังจำกำไลวงนี้ได้หรือเจ้าคะ”
“ข้าย่อมจำได้” เสิ่นเฉิงจางทอดถอนใจก่อนกล่าวว่า “ข้ายังจำได้ว่าอิ๋งชิวในราตรีนั้นงดงามเพียงไร ในตอนนั้นยังเป็นข้าสวมกำไลวงนี้บนข้อมือเจ้าด้วยตนเอง”
‘อิ๋งชิว’ คือนามของเซวียอี๋เหนียง
เซวียอี๋เหนียงยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม ทำให้เสิ่นเฉิงจางเห็นแล้วคล้ายว่าได้กลับไปในราตรีนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน
ชุยอิงอิงปฏิเสธจางเซิงด้วยสีหน้าจริงจังยามทิวา ตกราตรีกลับเยื้องกรายพาตนเองมาให้ถึงเตียง
เสิ่นเฉิงจางยื่นมือไปกุมมือเซวียอี๋เหนียงไว้พลางกล่าว “กำไลวงนี้ไม่ดีนัก วันหน้าข้าจะมอบกำไลที่ดีที่สุดให้เจ้าแล้วกัน”
เซวียอี๋เหนียงได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม้กำไลวงนี้จะเป็นของธรรมดา แต่ในใจผู้น้อยกลับมองว่ามันล้ำค่ากว่าเครื่องประดับอื่นใด ถึงนายท่านจะมอบกำไลที่ดีกว่าให้ผู้น้อยในตอนนี้ ผู้น้อยก็ไม่สวมหรอกเจ้าค่ะ”
เสิ่นเฉิงจางเข้าใจความหมายในคำพูดนางดี เขาซาบซึ้งใจยิ่ง บีบมือนางพลางกล่าว “นั่งลงกินข้าวกับข้าเถอะ”
เซวียอี๋เหนียงปฏิเสธ “นายท่าน ผู้น้อยเป็นเพียงอนุเท่านั้น จะนั่งกินอาหารกับท่านได้อย่างไร นี่ผิดธรรมเนียมนะเจ้าคะ”
“เจ้าอยู่กับข้ายังต้องพูดเรื่องธรรมเนียมอะไรอีก” เสิ่นเฉิงจางกลับยืนกราน ซ้ำยังดึงมือนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา ก่อนจะหันหน้าไปสั่งให้สาวใช้นำชามและตะเกียบมาอีกชุดหนึ่ง
คนทั้งสองกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้ว สาวใช้ก็มาเก็บจานชามออกไป ส่วนทั้งสองก็นั่งคุยกัน
เซวียอี๋เหนียงหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง
หน้าต่างเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง สามารถมองเห็นคนที่ยังคุกเข่าอยู่ในลานเรือนได้