เซวียอี๋เหนียงครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็เอ่ยปากว่า “นายท่าน แม้ว่าตอนนั้นคุณหนูใหญ่จะไม่รู้ความจนสร้างเรื่องที่ทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นนั้นออกมา แต่ว่ากันถึงที่สุดแล้ว นางก็เป็นเพียงหญิงสาวนางหนึ่ง หากคุกเข่าเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว” นางชะงักเล็กน้อยก่อนพูดอีกว่า “เพื่อเห็นแก่หน้าของฮูหยิน ท่านก็ควรให้คุณหนูใหญ่ลุกขึ้นนะเจ้าคะ”
ได้ยินเซวียอี๋เหนียงพูดเช่นนี้ เสิ่นเฉิงจางก็โมโหขึ้นมาตามคาด
“มารดานางถูกนางทำให้โมโหจนตาย ถ้าเพื่อมารดานางข้าก็ควรลงโทษนางให้หนักสิ ให้นางคุกเข่าไปเช่นนี้เถิด เจ้าไม่ต้องขอร้องแทนนางอีก”
เซวียอี๋เหนียงรีบทำท่าทางหวั่นเกรงออกมา ตอบรับว่า “เจ้าค่ะ ผู้น้อยทราบแล้ว”
เสิ่นเฉิงจางไม่พูดอะไรอีก เพียงเดินเข้าไปห้องข้างฝั่งตะวันออก เลือกหนังสือเล่มหนึ่งบนตู้มาอ่าน
เซวียอี๋เหนียงรู้ว่าเวลาเขาอ่านหนังสือไม่ชอบถูกคนรบกวน นางจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ไม่กี่วันนี้อากาศเย็นขึ้นแล้ว ผู้น้อยเห็นเสื้อคลุมบนตัวนายท่านเป็นของเมื่อปีก่อน จึงอยากจะทำตัวใหม่ให้นายท่าน ผ้าต่วนสีน้ำเงินดำ ด้านบนปักลายว่านน้ำเพิ่มลงไป นายท่านเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
สีน้ำเงินดำดูสุขุมล้ำค่า ว่านน้ำเป็นหนึ่งในบุปผาสี่สง่า เสิ่นเฉิงจางชื่นชมว่านน้ำมาแต่ไหนแต่ไร บอกว่ามันทนความหนาวเย็น วางเฉยต่อสิ่งเร้า เรื่องเหล่านี้เซวียอี๋เหนียงล้วนทราบทั้งสิ้น
ที่จริงเซวียอี๋เหนียงรู้ความชอบทั้งหมดของเสิ่นเฉิงจางดีประดุจนิ้วมือตนเอง นางรู้ด้วยว่าเสิ่นเฉิงจางชอบสตรีที่อ่อนหวานโอนอ่อนและจิตใจดี ดังนั้นหลายปีมานี้นางจึงแสดงท่าทางเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้าเสิ่นเฉิงจางมาโดยตลอด
เสิ่นเฉิงจางฟังแล้วก็พอใจตามคาด ยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็รบกวนอิ๋งชิวแล้ว”
เซวียอี๋เหนียงยิ้มพลางเอ่ยขอตัวกับเขา ก่อนพารุ่ยเซียงเดินออกประตูไป
เสิ่นหยวนยังคงคุกเข่าตัวตรงอยู่กลางลานเรือน เซวียอี๋เหนียงเดินมาหยุดที่เบื้องหน้านาง
“คุณหนูใหญ่” นางเรียกเสิ่นหยวนด้วยใบหน้ายิ้ม ทว่าดวงตากลับไม่มีรอยยิ้มสักเท่าไร “ท่านลุกขึ้นมาเถอะ เมื่อครู่ข้าเกลี้ยกล่อมนายท่านอยู่พักใหญ่ แต่ในใจนายท่านยังคงโมโหท่านอยู่มาก ต่อให้ท่านคุกเข่าอยู่ตรงนี้สามวันสามคืนก็ไม่มีประโยชน์”
เสิ่นหยวนเงยหน้ามองเซวียอี๋เหนียงอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วพลันยิ้มออกมา
นางไม่เชื่อหรอกว่าเซวียอี๋เหนียงจะขอร้องบิดาจริงๆ เกรงว่าจะยุแยงเสียมากกว่า
“อี๋เหนียงเดินระวังด้วย” เสิ่นหยวนเพียงพูดเช่นนี้ จากนั้นก็หันหน้าไปมองไผ่หางหงส์กอหนึ่งที่ปลูกอยู่ตรงมุมลานเรือน
นางถึงกับดื้อด้านเพียงนี้?!
เจอปฏิเสธอย่างไม่แข็งไม่อ่อนเช่นนี้ ในใจเซวียอี๋เหนียงย่อมจะหงุดหงิด ทว่านางมิได้แสดงออกทางสีหน้า กลับพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายตนเอง ข้ายังต้องรีบกลับไปตัดเสื้อคลุมให้นายท่านอีก คงต้องขอตัวก่อน”
เซวียอี๋เหนียงก้าวเดินจากมา แต่ครั้นออกมาพ้นประตูเรือนแล้ว นางก็สั่งรุ่ยเซียงเสียงเบา “เจ้าบอกให้สาวใช้สักคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนี้ด้วย หากมีอะไรให้มาบอกข้าทันที”
รุ่ยเซียงรับคำ