ทว่าที่สุดแล้วเสิ่นหยวนก็ยังเป็นห่วงหลี่ซิวเหยา กระนั้นกลับไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงพูดอย่างเย็นชา “สามีข้าเป็นอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องของข้า ไม่รบกวนให้เจ้ามาเป็นกังวล”
หลี่เป่าผิงได้ยินก็โมโหอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าพูดเช่นนี้แล้วก็ยังไม่อาจทำให้เสิ่นหยวนลนลานได้ อีกฝ่ายยังคงดูมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม ซึ่งหลี่เป่าผิงไม่ชอบเห็นท่าทางเช่นนี้ของเสิ่นหยวนเป็นที่สุด อยากจะเห็นท่าทางหวาดหวั่นร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่า
หลี่เป่าผิงมิอาจสู้ด้วยกำลังได้เลย ยามนี้แก้มทั้งสองข้างของนางยังคงแสบร้อน ทว่าความเจ็บตรงแก้มนี้ไม่เท่าไร ขอแค่ทนอีกสักครู่หนึ่งก็เจ็บน้อยลงแล้ว แต่ตรงหัวเข่าและหน้าท้องกลับเจ็บจนบนหน้าผากนางมีเหงื่อผุดออกมา
กระนั้นหลี่เป่าผิงยังคงไม่อยากปล่อยให้เสิ่นหยวนมองเห็นท่าทางทุลักทุเลของตนเอง จึงยังคงอดทนไม่ส่งเสียงโอดโอย แล้วร้องโวยวายดังลั่นแทน “ข้าบอกเจ้าว่าสามีเจ้าใกล้ตายแล้ว เจ้าก็ยังทำท่าเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับตนเองได้อีกหรือ จริงสิ คิดว่าตอนแรกเจ้าคนสายเลือดชั้นต่ำนั่นคงจะบังคับแต่งเจ้ากลับมาเป็นแน่ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดเขาสู่ขอได้สิบวันก็แต่งงานกันเช่นนี้ หากเขามิได้บังคับเจ้าให้แต่งด้วย เช่นนั้นก็คงเป็นเจ้ายอมแต่งให้ทหารอย่างเขาเอง ทั้งยังยอมแต่งในเวลาสั้นเพียงนั้นอีก? ช่างน่าขันนักที่เจ้าถูกเขาบังคับแต่งงาน และตอนนี้ก็ยังตั้งครรภ์ลูกของเขา เสิ่นหยวน คิดว่าทุกคืนวันที่เจ้าอยู่กับเขาคงจะทรมานใจทรมานกายมากกระมัง หากตอนนี้เขาตายไป เกรงว่ายังจะสมใจปรารถนาของเจ้าเสียมากกว่า!”
วาจานี้ของหลี่เป่าผิงช่างอำมหิตนัก ถึงเสิ่นหยวนจะเฉยชาเพียงไร ยามนี้ก็ยังโมโหจนสั่นไปทั้งร่างแล้ว
เมื่อครู่แช่งชักลูกในท้องข้าเต็มปากเต็มคำ ยามนี้ยังแช่งสามีของข้าอีก?
เสิ่นหยวนโมโหถึงที่สุดแล้วจริงๆ กำลังคิดจะยกเท้าถีบหลี่เป่าผิงให้เต็มแรงสักหน่อย แต่กลับได้ยินเสียงตะคอกดังมาจากด้านหลังเสียก่อน “น้องหญิงสาม หุบปาก!”
เสียงนี้ฟังคุ้นหูยิ่ง เสิ่นหยวนไม่ต้องหันหน้าไปมองก็รู้ว่าเป็นหลี่ซิวหยวน
เสิ่นหยวนอดจะยิ้มเย็นในใจไม่ได้ ประเสริฐนัก คนปกป้องหลี่เป่าผิงมาแล้ว
ทว่าเสิ่นหยวนมิใช่คนในชาติก่อนแล้ว ไหนเลยต้องมาใส่ใจอีกว่าหลี่ซิวหยวนจะเห็นนางเป็นอย่างไร หรือต่อไปจะหมางเมินนางอย่างไรอีก หากยั่วให้นางโมโห ไม่ใช่แค่หลี่เป่าผิง แม้แต่หลี่ซิวหยวนนางก็จะตบด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เสิ่นหยวนจึงยืนอยู่อย่างนั้น มิได้หันหน้ากลับไปมอง
เสิ่นหยวนพลันเห็นว่ามีคนเร่งฝีเท้าเดินผ่านข้างกายไป ไม่รู้ว่าใช่ต้องการมาระวังไม่ให้นางพุ่งไปตบหลี่เป่าผิงหรือไม่ ถึงได้มายืนอยู่ตรงกลางระหว่างนางกับหลี่เป่าผิง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเย็นชาของหลี่ซิวหยวนตำหนิหลี่เป่าผิง “เจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ พูดจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร หากใครมาได้ยินเข้าจะเกิดอะไรขึ้น…ยังไม่รีบประคองคุณหนูของเจ้ากลับไปอีก?”
ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับปี้อวี้ อีกทั้งน้ำเสียงก็เคร่งขรึมเข้มงวดขึ้นมาฉับพลัน
ปี้อวี้สะดุ้งตกใจ รีบก้าวมาประคองหลี่เป่าผิง