ราศีอันสูงส่งของฟูเหรินขั้นหนึ่งเมื่อชาติก่อนเป็นสิ่งที่ชุดผ้าเนื้อหยาบมิอาจจะบดบังได้ กระทั่งคำวิงวอนก็ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน้ำเสียงนางต่ำต้อยเท่าใดนัก
ท่าทีอันนิ่งสงบไว้ตัวของฉยงเหนียงคล้ายสะกิดความทรงจำที่ไม่ดีบางอย่างของฉู่เสีย รอยยิ้มที่มุมปากของเขาถูกเก็บไปสิ้น พลันแลดูเย็นชาไร้น้ำใจ
ยามที่ฉยงเหนียงเกือบสิ้นหวัง นึกว่าท่านอ๋องผู้นี้จะกลั่นแกล้งนางต่อ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก
“เรื่องชนพี่ชายเจ้าบาดเจ็บเป็นความผิดของข้ารับใช้ในจวนอ๋อง ค่ารักษาเยียวยาเขาย่อมจะมีคนไปดูแล พวกเจ้ากลับบ้านไปเถอะ…อีกสักสองสามวันข้าค่อยส่งคนไปที่บ้านของเจ้า”
ตอนนี้ฉยงเหนียงค่อยใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ด้วยไม่เหมาะที่นางจะสอบถามว่าเหตุใดเขายังต้องส่งคนมาอีก จึงคิดเสียว่าท่านอ๋องผู้นี้มีมารยาทไม่ตกหล่น
ไม่ช้าเมื่อนางก้าวขึ้นรถม้า ก็เห็นชุยฉวนเป่าดามขาพันแผลเสร็จและรอนางอยู่บนรถม้าก่อนแล้ว
ยามที่สองพี่น้องกลับถึงบ้าน สามีภรรยาสกุลชุยกำลังร้อนใจจนแทบจะเสียสติ ตั้งแต่ยังไม่ได้เก็บแผงก็มีเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันมาแจ้งข่าว บอกว่าเห็นบุตรชายบ้านนี้ถูกรถม้าชนบาดเจ็บ บุตรสาวก็ถูกเจ้าของรถม้าคันนั้นพาตัวไปด้วย
สองสามีภรรยาคล้ายพลันถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม รีบไปตามหาบุตรชายบุตรสาวที่ถนนด้านหน้าโดยไม่แม้แต่คิดจะเก็บแผง ทว่าเสาะหารอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบร่องรอย ครั้นรุดไปดูที่บ้านกลับพบหลิ่วผิงชวนนั่งรถม้ามาคอยอยู่ที่หน้าประตู
หลิ่วผิงชวนเพียงทำทีว่ามาเยี่ยมสามีภรรยาสกุลชุย หลังจากฟังคำบอกเล่าเสียงเครือของหลิวซื่อจบ ระลอกน้ำในดวงตาหลิ่วผิงชวนก็ไหววูบนิดๆ “พี่สาวมีรูปโฉมงดงาม เจ้าของรถม้าคันนั้นไร้มารยาทเช่นนี้ ต่อให้พี่สาวได้กลับมา ชื่อเสียงก็คง…”
วาจาของนางกล่าวมาเพียงครึ่งเดียว แต่หลิวซื่อก็ฟังความนัยในวาจานี้เข้าใจแล้ว สตรีวัยกำดัดที่ยังไม่ออกเรือนถูกจับตัวไป ในสายตาของคนบ้านใกล้เรือนเคียงยังจะเหลือชื่อเสียงอันใดให้เอ่ยถึง
ชุยจงไม่ว่างมาสนใจเรื่องเสียชื่อไม่เสียชื่ออะไรนั่น ช่วยบุตรชายบุตรสาวกลับมาก่อนสำคัญกว่า ดังนั้นจึงเตรียมจะรุดไปตีกลองร้องทุกข์กับนายอำเภอทันที ผลปรากฏว่าเพิ่งจะเดินออกไป เขาก็เห็นรถม้าคันหนึ่งพาชุยฉวนเป่ากับฉยงเหนียงส่งกลับมาแล้ว
หลิวซื่อเห็นบุตรชายถูกคนหามลงมา ขาถูกดามกับแผ่นไม้ แต่สีหน้ายังดูใช้ได้ ทั้งสามารถเอ่ยปากเรียก “ท่านพ่อท่านแม่” หัวใจที่ลอยคว้างของหลิวซื่อจึงวางลงได้ครึ่งดวง ครั้นเห็นบุตรสาวยามที่ลงจากรถม้าก็ดูเป็นปกติตลอดทั้งร่าง ผมเผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าก็ไม่เห็นแววหวาดหวั่นหรือเจ็บแค้น หัวใจอีกครึ่งดวงของคนเป็นแม่จึงวางลงได้เสียที
ผู้ที่ส่งคนกลับมาก็คือฉู่เซิ่งพ่อบ้านประจำจวนหลางอ๋อง ยามที่เขาเข้าไปในลานเรือนก็มองพิจารณาลานเรือนอันแคบเล็กนี้ก่อนรอบหนึ่ง ค่อยเบนสายตาไปมองสามีภรรยาสกุลชุย
อาจเพราะคนจากจวนหลางอ๋องล้วนเคยชินที่จะเชิดรูจมูกมองผู้อื่น คำขออภัยที่ออกจากปากฉู่เซิ่งจึงฟังดูไม่ค่อยจริงใจนัก เพียงแต่กล่องที่บรรจุเงินมานั้นหนักยิ่ง ทั้งยังจัดโสมกับตัวยาบำรุงเลือดและกระดูกมาต่างหากอีกสองกล่อง
พอได้ยินว่าเจ้าของรถม้าที่ชนบุตรชายเป็นถึงท่านอ๋อง ต่อให้ในใจสามีภรรยาสกุลชุยมีโทสะก็ได้แต่ฝืนข่มกลั้นไว้ รอจนรับของกำนัลและส่งพวกฉู่เซิ่งจากไปแล้ว หลิวซื่อก็รีบดูแลให้ชุยฉวนเป่าพักผ่อน ก่อนจะเร่งจูงมือฉยงเหนียงมาไถ่ถามอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
ฉยงเหนียงก็ตอบไปตามจริงว่าตนเข้าไปทำขนมให้หลางอ๋องในคฤหาสน์ของเขา
หลิ่วผิงชวนฟังอยู่ด้านข้าง แววตาหลุกหลิกอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ จึงอ้างว่าวันนี้ตนแจ้งเหยาซื่อไว้แล้ว สามารถอยู่กินอาหารเย็นเป็นเพื่อนสามีภรรยาสกุลชุยได้