สวีมามาตอบอย่างละเอียด “…คุณหนูก็ทราบว่าแต่ไรมาฮูหยินเป็นโรคหอบหืด เป็นมาแต่เกิด นี่เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ พอถึงฤดูใบไม้ผลิใบไม้ร่วงอาการก็กำเริบได้ง่าย เพียงแต่หลายปีมานี้ได้กินยาของท่านหมอโจว ทั้งยังบำรุงรักษาสุขภาพอย่างเอาใจใส่ และไม่ได้เข้าใกล้สัตว์มีขนอย่างแมวหรือสุนัข โรคหอบหืดนี้ของฮูหยินจึงค่อยๆ ดีขึ้น จนอาการไม่กำเริบสองปีแล้ว ทว่าฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว จู่ๆ โรคนี้ของฮูหยินก็กำเริบ กินยาที่ท่านหมอโจวสั่งแล้วก็ไม่ดีขึ้น ซ้ำยังเป็นหนักขึ้นทุกวัน”
เสิ่นหยวนฟังถึงตรงนี้ก็มุ่นหัวคิ้วแล้วถามว่า “เวลานั้นสวีมามาเคยหาสาเหตุหรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ โรคของท่านแม่ถึงกำเริบ”
สวีมามามองเสิ่นหยวนแวบหนึ่ง เสิ่นหยวนสัมผัสได้ว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงรีบพูดว่า “ท่านแม่รักใคร่เอ็นดูข้าที่สุดมาแต่ไหนแต่ไรท่านก็รู้ นางป่วยตายแล้ว ข้าย่อมเจ็บปวดปานหัวใจถูกคว้าน หากเรื่องนี้มีเงื่อนงำอะไร ท่านจงบอกออกมา สวีมามา ท่านไม่เชื่อใจข้าหรือ”
สีหน้าสวีมามาลังเลอยู่บ้าง สุดท้ายก็ยังคงตอบเสียงเบา “อันที่จริงเรื่องนี้เป็นการคาดเดาของบ่าวเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน คุณหนูแค่ฟังเอาไว้ก่อนนะเจ้าคะ”
“สวีมามา ข้าเข้าใจดี” เสิ่นหยวนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่หัวใจกลับค่อยๆ เต้นเร็วขึ้น
หากการตายของมารดามีเงื่อนงำจริง…
เสิ่นหยวนพลันจิกฝ่ามือตนเองแน่น
ยามนี้สวีมามาก็ค่อยๆ พูดว่า “เวลานั้นฮูหยินโรคกำเริบกะทันหัน ในใจบ่าวรู้สึกแปลก จึงร่วมมือกับแม่นางหงเวยและแม่นางชุ่ยเวยสาวใช้ข้างกายฮูหยินตรวจดูภายในห้องและลานเรือนอย่างถี่ถ้วน ผลคือพบแมวตัวหนึ่งอยู่ใต้เตียงฮูหยิน ไม่รู้ว่าเดรัจฉานตัวนั้นอยู่ที่ใต้เตียงฮูหยินมานานเท่าไรแล้ว เหมือนว่ามีคนวางของกินไว้ใต้นั้นเป็นประจำ เพื่อทำให้แมวตัวนั้นไม่ไปอยู่ที่อื่น”
หัวใจของเสิ่นหยวนเต้นรัวแรงทันที
โรคหอบหืดของมารดาจะอยู่ใกล้พวกแมวพวกสุนัขไม่ได้ ดังนั้นในเรือนทิงเสวี่ยของมารดาจึงไม่เคยเลี้ยงสัตว์ใดๆ ทั้งยังคอยตรวจตราอย่างเข้มงวดไม่ให้แมวและสุนัขจรจัดเข้าไปด้วย แล้วไฉนจึงมีแมวอยู่ใต้เตียงมารดาได้ ซ้ำยังไม่รู้ด้วยว่าอยู่มานานเท่าไรแล้ว
หากกล่าวว่าแมวตัวนั้นเดินเข้าไปเอง ไม่มีคนจงใจเอาไปปล่อยไว้ ผู้ใดจะไปเชื่อ
ผู้ที่สามารถนำแมวไปปล่อยไว้ใต้เตียงมารดาได้อย่างเงียบเชียบย่อมต้องเป็นคนในเรือนของมารดา เกรงว่ายังเป็นผู้ที่สามารถเข้าออกห้องได้ตามสบายด้วย
สาวใช้ในเรือนทิงเสวี่ยมีจำนวนมาก แต่สาวใช้ใช้แรงงานทั่วไปไม่อาจเข้าออกห้องนอนของมารดาได้ตามอำเภอใจ คิดแล้วก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น…
เสิ่นหยวนจึงถามว่า “บรรดาสาวใช้ที่เมื่อก่อนเคยปรนนิบัติท่านแม่อยู่ที่ใด สวีมามา ท่านเรียกพวกนางมาพบข้าที”
เมื่อได้พบและสอบสวนอย่างละเอียดแล้วก็น่าจะได้เบาะแสบางอย่าง
ทว่าสวีมามาฟังแล้วกลับตอบด้วยท่าทางลำบากใจ “หลังจากฮูหยินสิ้นใจได้ไม่นาน สาวใช้ทั้งหมดในเรือนทิงเสวี่ยก็ถูกเซวียอี๋เหนียงไล่ออกไป หัวหน้าสาวใช้อย่างหงเวยและชุ่ยเวย รวมถึงสาวใช้ระดับรองอย่างอวี้หมิงและอวี้จันล้วนถูกจับแต่งงานไปอยู่ที่ห่างไกล ส่วนสาวใช้ที่เหลือเหล่านั้นก็ล้วนถูกไล่ไปทำงานหนักที่เรือนส่วนหน้า มีเพียงบ่าวที่ยังเฝ้าเรือนทิงเสวี่ยของฮูหยินอยู่คนเดียว อีกทั้งฮูหยินก็ได้มอบหมายให้บ่าวบอกเรื่องบางอย่างต่อคุณหนู ทว่าไม่กี่วันนี้บ่าวได้ยินคนพูดว่าเซวียอี๋เหนียงคิดจะไล่บ่าวไปเช่นกัน โชคดียิ่งที่ท่านกลับมายามนี้ มิเช่นนั้นหากช้ากว่านี้เพียงไม่กี่วัน เกรงว่าบ่าวคงจะไม่ได้พบท่าน และทำงานที่ฮูหยินมอบหมายให้บ่าวไม่สำเร็จแล้ว”
ยามที่เสิ่นหยวนกลับมาจวนสกุลเสิ่นเมื่อชาติก่อนได้เลยช่วงไว้ทุกข์ให้มารดาไปแล้ว ส่วนสวีมามาก็ถูกเซวียอี๋เหนียงไล่ไปก่อนหน้าที่นางจะกลับมาถึง ดังนั้นพอกลับมาจึงไม่ได้พบสวีมามา เรื่องที่ว่าเหตุใดมารดาอาการกำเริบจึงไม่มีทางได้ล่วงรู้ แต่บัดนี้…
ไฉนพอมารดาตายได้ไม่ทันไร เซวียอี๋เหนียงก็ต้องไล่สาวใช้ทั้งหมดข้างกายมารดาไปด้วย นี่นางเป็นวัวสันหลังหวะ…หรือมีเรื่องอะไรกันแน่
“ท่านพ่อก็ปล่อยให้เซวียอี๋เหนียงไล่สาวใช้ข้างกายท่านแม่ไปเช่นนี้น่ะหรือ” เสิ่นหยวนจิกฝ่ามือพลางเอ่ยถามช้าๆ
สวีมามามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “หากบ่าวบอกออกมา คุณหนูก็อย่าคิดมากนะเจ้าคะ เวลานั้นฮูหยินล้มป่วยแล้ว พอได้รับจดหมายที่คุณหนูให้คนส่งมาฉบับแล้วฉบับเล่า ฮูหยินอ่านทีไรเป็นได้สงสารท่าน ร้องไห้เป็นครึ่งค่อนวันเสมอ ต่อมาไม่รู้จดหมายพวกนั้นไปตกอยู่ในมือเซวียอี๋เหนียงได้อย่างไร เซวียอี๋เหนียงนำมันไปขอพบนายท่าน คิดว่านางคงไปพูดอะไรเข้า ทำให้นายท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ถือจดหมายมาที่เรือนทิงเสวี่ยอย่างเดือดดาลทันที ตำหนิฮูหยินว่าสั่งสอนลูกได้ดีนัก จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ไม่ถึงสองวันนายท่านก็บอกว่าตอนนี้ฮูหยินกำลังป่วย ไม่มีแรงจะดูแลงานในเรือนส่วนใน จึงให้เซวียอี๋เหนียงดูแลแทน รวมถึงรายรับจากพวกที่ดินและร้านค้าที่เป็นสินเจ้าสาว ฮูหยินได้ยินแล้วก็โมโหจนอาการทรุดหนักทันที ผ่านไปไม่กี่เดือนฮูหยินก็จากไป”
สวีมามาพูดถึงตรงนี้ก็เริ่มน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวงาช้างในมือซับน้ำตา
เสิ่นหยวนเงียบไป ทว่ากลับยิ่งจิกฝ่ามือตนเองแน่นจนเล็บกดลึกเข้ากลางฝ่ามือ