เวลานี้เองสวีมามาก็หยิบสมุดเล่มหนึ่งและจดหมายอีกฉบับออกมาจากในแขนเสื้อ ใช้สองมือยื่นมาให้ “คุณหนู สมุดเล่มนี้คือรายการสินเจ้าสาวในตอนนั้นของฮูหยิน ส่วนจดหมายนี้เป็นฮูหยินสั่งบ่าวก่อนสิ้นใจว่าต้องมอบแก่ท่านให้ได้”
เสิ่นหยวนรับมา ขณะเปิดจดหมายมือก็สั่นเทา
ลายมือของมารดาอ่อนช้อยงดงามเหมือนกับตัวของนางเอง ในจดหมายบอกว่านางรู้ตัวว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ก็ยังห่วงพวกเสิ่นหยวนสามพี่น้อง ทั้งยังบอกอีกว่าพี่สาวคนโตเปรียบเสมือนมารดา ต้องการให้เสิ่นหยวนดูแลน้องชายและน้องสาวให้ดี จากนั้นก็พูดเรื่องสินเจ้าสาวของนาง บรรดาข้าวของข้างในห้องเก็บของที่ติดตัวนางมาตอนแต่งงาน รวมถึงที่ดินและร้านค้าต่างๆ ล้วนให้เสิ่นหยวนดูแลแทนชั่วคราว รอเสิ่นเซียงและเสิ่นหงโตแล้วค่อยแบ่งให้ทั้งสองเท่าๆ กัน ท้ายจดหมายยังกำชับเสิ่นหยวนด้วยประโยคที่จริงใจ ให้นางปรับปรุงนิสัยที่แล้วมาของนางเสีย ต่อไปมารดาไม่อยู่แล้ว หากนางยังมีนิสัยเช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดคอยส่งเสริมให้ท้าย ไม่อาจเป็นเช่นที่แล้วมาได้อีก
ท่านแม่…
เสิ่นหยวนยกจดหมายฉบับนี้แนบกับอกตนเองแน่น ก้มหน้าลงพร้อมน้ำตานองหน้า
สวีมามายังพูดเสียงเบาอยู่ข้างๆ ว่า “ฮูหยินห่วงว่าข้าวของในห้องเก็บของจะถูกคนหมายตา ก่อนสิ้นใจจึงสั่งให้บ่าวเฝ้าไว้ให้ดี รอคุณหนูกลับมาแล้วก็ส่งมอบให้คุณหนูเองกับมือ แม้แต่ข้าวของในเรือนของคุณหนูฮูหยินก็กลัวเช่นกันว่าจะมีผู้อื่นมาขโมยไปยามท่านไม่อยู่ จึงให้คนมาเฝ้าที่นี่ไว้โดยเฉพาะ เพียงแต่บ่าวไร้ประโยชน์นัก พวกที่ดินและร้านค้าในสินเจ้าสาวของฮูหยิน เดิมทีช่วงปลายปีก่อนเซวียอี๋เหนียงก็เข้ามาดูแลพวกรายรับแล้ว ยิ่งหลังฮูหยินจากไปเซวียอี๋เหนียงก็บอกว่าคุณหนูสามยังอายุไม่ถึงสิบสี่ จะดูแลได้อย่างไร ยิ่งไม่มีเหตุผลให้บ่าวมาดูแลแทน และก็ไม่อาจให้สิทธิ์ผู้ดูแลเหล่านั้นดูแลอย่างเต็มที่ได้ ด้วยไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะฉวยโอกาสยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ดังนั้นเซวียอี๋เหนียงจึงอธิบายให้นายท่านฟัง นายท่านก็เลยให้เซวียอี๋เหนียงรับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้เป็นการชั่วคราว บอกว่ารอคุณหนูกับคุณหนูสามออกเรือนและคุณชายรองโตแล้ว ค่อยแบ่งที่ดินและร้านค้าเหล่านั้นของฮูหยินให้พวกท่านดูแลเอง บ่าวอยู่ในจวนทั้งวันออกไปที่ใดไม่ได้ จึงไม่ทราบว่าที่ดินและร้านค้าเหล่านั้นของฮูหยินตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว”
เสิ่นหยวนไม่ได้พูดอะไร นางรู้ว่าทางบ้านของเซวียอี๋เหนียงยากจน ในอดีตได้รับความลำบากเรื่องเงินทองไม่น้อย จึงทำให้เซวียอี๋เหนียงเห็นเงินสำคัญที่สุด ให้อีกฝ่ายดูแลที่ดินและร้านค้าเหล่านั้นในสินเจ้าสาวของมารดาก็ไม่ต่างกับให้แมวเฝ้าปลาย่าง ต้องมีแอบลักกินเองแน่นอน
แต่ถ้ายามนี้ไปบอกบิดาว่าต้องการรับช่วงดูแลที่ดินและร้านค้าในสินเจ้าสาวของมารดาเองโดยไม่ไตร่ตรอง ยังไม่พูดถึงว่าไม่มีเหตุผล เกรงว่าถึงเวลานั้นแค่เซวียอี๋เหนียงยุแยงเข้าหน่อย นางก็คงไม่ได้ตามหวัง ฉะนั้นเรื่องนี้ทำได้เพียงค่อยๆ จัดการไป
ต่อจากนั้นเสิ่นหยวนก็คุยกับสวีมามาอีกครู่ใหญ่ถึงค่อยขึ้นเตียงพักผ่อน
เพียงแต่กลับมาจากฉางโจว เดินทางทางน้ำมาสิบกว่าวัน จู่ๆ มานอนบนเตียงจึงรู้สึกคล้ายว่ายังอยู่บนเรือ คล้ายร่างกายยังส่ายโอนเอนไม่หยุด อีกทั้งเมื่อครู่เพิ่งฟังสวีมามาเล่าเรื่องมากมายของมารดา มีหรือจะยังหลับลง ยามโฉ่วหนึ่งเค่อ ถึงค่อยผล็อยหลับไป
วันถัดมาเสิ่นหยวนตื่นเช้ายิ่ง ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นม่านไหมสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนเหนือศีรษะ ครั้นหันหน้าไปสิ่งที่มองเห็นเป็นฉากบังลมโครงไม้ประดู่ติดผ้ามุ้งสีขาวปักลายผีเสื้อและดอกเสาเย่าตั้งอยู่ไม่ไกล
เสิ่นหยวนจำได้ว่าฉากบังลมนี้เป็นมารดาปักให้นางเองกับมือ เวลานั้นมารดายังยิ้มพลางพูดกับนางว่า ‘หยวนหยวนของข้างดงามตรึงใจเหมือนกับดอกเสาเย่า อนาคตจะต้องมีสามีที่ดีแน่นอน’
ถ้อยคำคล้ายยังดังอยู่ในโสต แต่ยามนี้มารดากลับไม่อยู่แล้ว
เสิ่นหยวนนอนเหม่ออยู่บนเตียงได้ครู่หนึ่ง ถึงค่อยเอ่ยปากเรียกไฉ่เวย
เมื่อคืนไฉ่เวยอยู่เวรจึงนอนในห้องนอนด้านนอก ระหว่างสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงของเสิ่นหยวน จึงรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินอ้อมฉากบังลมมาถามว่า “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนตอบรับในลำคอคำหนึ่ง ไฉ่เวยก็ถอยออกไปเปิดประตูเรียกให้ชิงเหอและชิงจู๋ยกน้ำเข้ามาปรนนิบัติเสิ่นหยวนล้างหน้าบ้วนปาก
เมื่อเสิ่นหยวนล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ ไฉ่เวยก็ถามอีกว่า “คุณหนู วันนี้ท่านจะใส่ชุดอะไรเจ้าคะ”