เซวียอี๋เหนียงจึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ “สวีมามาผู้นี้ย่อมเป็นคนสุขุมรอบคอบ เพียงแต่นางอายุมากแล้ว ทั้งยังปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินมาหลายปี ไม่มีความดีก็มีความชอบ ผู้น้อยกำลังคิดอยู่ว่าจะหาโอกาสคุยกับนายท่านเสียหน่อยว่าให้เลือกสถานที่ดีๆ จากในที่ดินของสกุลเสิ่นเราแล้วส่งตัวนางไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ถือว่าตอบแทนที่นางเคยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยิน แม้คุณหนูใหญ่ต้องการรั้งตัวนางไว้ แต่สวีมามาก็อายุมากแล้ว ถ้าให้นางปรนนิบัติรับใช้คุณหนูใหญ่อีก ผู้น้อยเกรงว่า…”
“อี๋เหนียงคิดมากไปแล้ว” เสิ่นหยวนแย้มยิ้มอ่อนหวาน เอ่ยตัดบทนาง “แม้ข้าจะต้องการให้สวีมามาเป็นผู้ดูแลในเรือนข้า แต่มีหรือจะยังให้นางลงมือทำอะไรด้วยตนเอง เพียงคิดจะให้นางคอยชี้แนะเวลาบ่าวไพร่คนใดทำอะไรผิดเท่านั้นเอง”
ก่อนหันไปพูดกับเสิ่นเฉิงจางอีกว่า “ลูกอกตัญญู ยามท่านแม่จากไป ลูกไม่สามารถอยู่ข้างกายท่านแม่ได้ สวีมามาเป็นผู้ที่รับใช้ข้างกายท่านแม่มานานที่สุด ยามเห็นนางลูกก็เหมือนได้เห็นท่านแม่ นับว่าทำให้ลูกคลายความคิดถึงท่านแม่ได้เล็กน้อย”
ยามมารดาเสิ่นหยวนสิ้นใจ เดิมทีบุตรสาวอย่างนางก็ต้องการกลับมางานศพ แต่เวลานั้นเสิ่นเฉิงจางฟังเซวียอี๋เหนียงพูดจนคิดว่ามารดาเสิ่นหยวนถูกนางทำให้โมโหตาย ไหนเลยจะยังอยากเห็นลูกเนรคุณผู้นี้อีก จึงไม่ให้นางกลับมางานศพมารดา ยามเขาคิดเรื่องนี้ขึ้นมาในใจก็ยังรู้สึกผิด อีกทั้งตอนนี้เสิ่นหยวนก็พูดเสียน่าเวทนาปานนี้…
ด้วยเหตุนี้เสิ่นเฉิงจางจึงกล่าวทันที “ต่อจากนี้ให้สวีมามารับหน้าที่เป็นมามาผู้ดูแลที่เรือนซู่อวี้ เรื่องนี้เอาตามนี้ วันหลังไม่ต้องพูดอีก”
เซวียอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าในอกพลันมีลมกลุ่มหนึ่งตีขึ้นมา ทั้งร่างอ่อนยวบ
ที่แล้วมาเสิ่นเฉิงจางล้วนเชื่อฟังทำตามคำนางมาตลอด ไม่เคยมียามใดที่ปฏิเสธเด็ดขาดเช่นนี้ ทั้งยังเป็นต่อหน้าเสิ่นหยวน…
จากนั้นเสิ่นเฉิงจางก็หมุนตัวก้าวเท้าเดินออกข้างนอกเพื่อรีบไปทำงาน เสิ่นหยวนยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางนอบน้อม มองส่งเขาจากไป
ครั้นเงาเสิ่นเฉิงจางหายลับไปจากประตูเรือน เสิ่นหยวนก็เอ่ยปากขอตัวกับเซวียอี๋เหนียง ทำท่าจะพาไฉ่เวยจากไป
บิดาไม่อยู่ นางก็คร้านจะเสแสร้งนอบน้อมกับเซวียอี๋เหนียงอีก ทุกคนอยู่ร่วมกันเฉยๆ ได้ก็พอแล้ว
เซวียอี๋เหนียงกลับกวาดตามองเสิ่นหยวนอย่างละเอียด พลันยิ้มออกมา “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยรู้เลยว่าคุณหนูใหญ่ถึงกับพูดได้ปราดเปรื่องเพียงนี้”
เป็นเพราะการพูดอันปราดเปรื่องและการเสแสร้งทำตัวอ่อนแอน่าสงสารนี่กระมัง บ่ายเมื่อวานตอนนางเพิ่งกลับมา นายท่านยังโมโหจนแทบไม่อยากมีบุตรสาวอย่างนางอยู่ชัดๆ แต่ตอนนี้พอเห็นนางกลับมีท่าทางเมตตาถึงเพียงนั้น ที่สำคัญที่สุดคือนางพูดแค่ไม่กี่คำก็ถึงกับบงการความคิดของนายท่านได้ แม้แต่ข้าก็ยังเทียบไม่ติด…
คิดถึงตรงนี้เซวียอี๋เหนียงก็รู้สึกว่าในใจเย็นวาบน้อยๆ
“คนเราย่อมจะค่อยๆ เติบใหญ่รู้ความ” สีหน้าเสิ่นหยวนราบเรียบ “พอเติบใหญ่รู้ความแล้วย่อมจะรู้จักแยกแยะดีชั่ว แยกแยะว่าซื่อสัตย์หรือคิดคดได้เอง”
เซวียอี๋เหนียงสีหน้าชะงักค้าง ทว่าเวลานี้เสิ่นหยวนพาไฉ่เวยหมุนตัวเดินออกประตูไปแล้ว
เวลานี้เป็นต้นฤดูหนาว แม้ใบของต้นไม้ในสวนจะร่วงไม่หมด แต่ที่สายตามองเห็นก็เป็นทัศนียภาพวิเวกวังเวงเสียส่วนใหญ่
ยังดีที่วันนี้แดดออกมาก สาดส่องลงมาประหนึ่งผงทองเป็นประกายระยิบระยับ
ยามเสิ่นหยวนกับไฉ่เวยกลับถึงเรือนซู่อวี้ก็เห็นประตูห้องเก็บของเปิดกว้างอยู่ ชิงจู๋กำลังนำคนตรวจนับสิ่งของข้างใน โดยจดบันทึกไว้ในสมุดทุกรายการ ส่วนชิงเหอก็กำลังสั่งให้บ่าวไพร่ขนหนังสัตว์แพรพรรณที่ด้านข้างออกมาตากในสวนตรงจุดที่มีแดดเพื่อไล่กลิ่นอับ ทั่วทั้งลานเรือนมีแต่ผ้าสารพัดสี ทำให้รู้สึกว่าโลกมนุษย์ดูครึกครื้นขึ้นมาทันใด
มองเห็นเสิ่นหยวนกลับมาแล้ว ชิงเหอก็รีบเดินมาคารวะนาง เอ่ยทักว่า “คุณหนู” จากนั้นชิงจู๋ก็วางสมุดและพู่กันในมือลงแล้วเดินมาคารวะและกล่าวทักเช่นกัน
ชิงเหอหลักแหลมร่าเริง ชิงจู๋สุขุมรอบคอบ ที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองล้วนจงรักภักดีต่อเสิ่นหยวนอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนยิ้มพลางกล่าวกับพวกนางสองคน “พวกเจ้าไปทำงานในมือต่อเถอะ”
ชิงเหอกับชิงจู๋รับคำแล้วรีบไปทำงานของตนทันที ส่วนเสิ่นหยวนก็พาไฉ่เวยกลับเข้าห้อง
เสิ่นหยวนมีเรื่องต้องทำอีกมาก…