โดยต้องให้คนไปยื่นป้ายประจำตัวที่วัง เมื่อต้นปีท่านป้าให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ท่านตา บอกว่าคิดถึงพวกบะหมี่อิ๋นซือ และชาเชวี่ยเสอของบ้านเกิด ครั้นได้รู้ว่าเสิ่นหยวนอยู่ที่ฉางโจวก็กำชับให้นำของจากทางบ้านเกิดกลับเมืองหลวงด้วย ยามมาถึงก็ให้ยื่นป้ายประจำตัวต่อวังหลวงเพื่อพบนาง
อีกเรื่องคือตอนนี้สวีมามาได้เป็นมามาผู้ดูแลที่เรือนซู่อวี้ของนางแล้ว สินเจ้าสาวของมารดาที่วางไว้ในห้องเก็บของเรือนทิงเสวี่ยจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดเฝ้าแล้ว เช่นนี้ใช้ได้หรือ จะต้องขนมาไว้ในห้องเก็บของที่เรือนซู่อวี้ของนางทั้งหมด เช่นนี้ถึงจะทำให้เซวียอี๋เหนียงที่หมายตาในสิ่งของเหล่านี้ของมารดาไม่อาจลงมือได้สะดวก
แล้วไหนจะเรื่องของฝากที่นำกลับมาอีก ต้องนำมาจัดแบ่งให้กับคนในจวน
สาวใช้ยกชาซงหลัวมาให้ เสิ่นหยวนยังไม่ดื่ม กลับสั่งไฉ่เวยว่า “เจ้าพาสาวใช้สองคนนำของฝากที่พวกเรานำกลับมาจากฉางโจวไปให้เซวียอี๋เหนียง คุณชายใหญ่ คุณหนูรอง และคุณหนูสี่ตามลำดับนี้ แล้วก็ส่งไปให้อี๋เหนียงคนอื่นด้วย”
ตอนที่กลับมาได้แยกของฝากที่จะให้แต่ละคนไว้คนละห่อแล้ว ตอนนี้แค่นำไปส่งเป็นใช้ได้ ส่วนของเสิ่นเซียงกับเสิ่นหงนั้น เสิ่นหยวนต้องการนำไปให้ด้วยตนเอง
ในจดหมายที่มารดาทิ้งไว้ให้นางก่อนสิ้นใจต้องการให้นางดูแลน้องทั้งสองของตนให้ดี นางย่อมจะฟังคำมารดา เพียงแต่ที่แล้วมาเสิ่นเซียงและเสิ่นหงล้วนไม่สนิทสนมกับนาง ตอนนี้จึงต้องค่อยๆ เริ่มเข้าหาพวกเขา
ไฉ่เวยรับคำพลางหาบรรดาของฝากที่แยกเป็นห่อเรียบร้อยแล้วออกมาจากในหีบที่นำกลับมาจากฉางโจว ก่อนสั่งสาวใช้สองคนมาถือแล้วออกไปส่งให้แต่ละคน
อากาศดี ม่านลายดอกตรงประตูจึงถูกรวบขึ้น ชิงเหอเดินเข้ามา ยิ้มกล่าวกับเสิ่นหยวน “วันนี้แดดดี คิดว่าแพรพรรณหนังสัตว์เหล่านั้นน่าจะตากได้หมดในวันเดียวเจ้าค่ะ”
วันนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้น ชิงเหอก็สั่งให้คนเปิดห้องเก็บของ นำผ้าเหล่านั้นออกมาตากแดด ตอนนี้ก็ทำเสร็จพอดี
เสิ่นหยวนให้ชิงเหอตามนางไปส่งของฝากให้เสิ่นเซียงและเสิ่นหงด้วยกัน
เสิ่นเซียงเป็นพวกคิดมาก ที่แล้วมารู้สึกว่ามารดาลำเอียงชอบเสิ่นหยวนและเสิ่นหงที่สุด แต่ไม่ชอบนางโดยสิ้นเชิง ถึงมีของดีอะไรก็จะให้เสิ่นหยวนกับเสิ่นหงก่อน ที่เหลือถึงให้นาง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสิ่นเซียงคิดมาก เสิ่นหยวนจึงไปหาเสิ่นเซียงก่อน
เสิ่นเซียงพักที่เรือนลวี่ฉี่ ฝูหรง ต้นหนึ่งในลานเรือนกำลังบานพอดี ดอกสีชมพูประดับเต็มกิ่ง ดูสวยงามและบอบบาง
สาวใช้ที่หน้าประตูเข้าไปรายงาน เพียงครู่เดียวก็ออกมาเปิดม่านเชิญเสิ่นหยวนเข้าไป
เสิ่นหยวนก้มศีรษะน้อยๆ ยกเท้าก้าวเข้าห้อง
เสิ่นเซียงกำลังนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่บนเตียงเตาไม้ใกล้หน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ครั้นมองเห็นเสิ่นหยวนเข้ามา นางก็ไม่ได้มีท่าทีจะลุกขึ้นต้อนรับ เพียงเปิดเปลือกตาเล็กน้อยมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งเป็นอันเสร็จเรื่อง
กระทั่งวางท่าวางทางให้ดีๆ ยังคร้านจะทำ
ฝีเท้าเสิ่นหยวนชะงักไป แต่เพียงไม่นานใบหน้านางก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น เอ่ยเสียงนุ่มว่า “เมื่อวานพี่ได้ยินเซวียอี๋เหนียงบอกว่าเจ้าไม่สบาย เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่”
พูดพลางนั่งลงตรงขอบเตียงเตาโดยมีโต๊ะเล็กบนเตียงคั่นกลาง
หน้าตาของเสิ่นเซียงยังคงเกียจคร้านเช่นเดิม “ดีขึ้นแล้ว” น้ำเสียงติดรำคาญอยู่บ้าง