นางจึงก้าวขึ้นหน้าไปขวางชุยฉวนเป่าไว้ทันที “พี่ชาย ขาท่านยังบาดเจ็บอยู่ ตรงนี้มีท่านพ่อท่านแม่อยู่เจรจา พี่ชายก็กลับเข้าไปพักในบ้านเถอะ”
หลิวซื่อรู้จักอุปนิสัยขี้โมโหของบุตรชายดี จึงรีบดันตัวเขาเข้าบ้านไป
ยามที่ชุยจงปั้นยิ้มสอบถามฉู่เซิ่งว่ามีที่ใดเข้าใจผิดไปหรือไม่ ฉยงเหนียงก็มองดูรถม้าที่อยู่ด้านหลังฉู่เซิ่งอย่างชัดเจนแล้ว จุดที่เสียหายนั้นยับเยินอยู่บ้างจริงๆ อัญมณีที่ใช้ฝังประดับและชำรุดไปก็ล้วนจริงแท้แน่นอน ทว่าจะต้องเป็นร่างกายที่หลอมขึ้นจากเหล็กเท่านั้นถึงสามารถกระแทกรถม้าให้อยู่ในสภาพอนาถเยี่ยงนี้ได้
“พ่อบ้านฉู่ ท่านว่ารถม้านี้จะใช่ถูกคนชนมาหรือ” ฉยงเหนียงพูดเหตุผลกับฉู่เซิ่งอย่างอดทน
ฉู่เซิ่งลากเสียงยาวตอบ “ท่านอ๋องบอกว่าใช่ก็ต้องใช่ ผู้ใดกล้าตั้งข้อสงสัย”
ช่างสมเป็นบ่าวนักเลงที่ถนัดแต่ใช้อำนาจเจ้านายมาระรานผู้อื่น หน้าตาไร้หัวจิตหัวใจโดยสิ้นเชิง
ในใจฉยงเหนียงคิดทบทวนเหตุร้ายที่ไม่คาดฝันนี้อย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งก็รู้ว่ามีคนจงใจทำ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าผู้บงการเบื้องหลังเป็นใครกันแน่
หากเป็นหลางอ๋องก็ชัดเจนว่ามีเจตนาอื่นซ่อนเร้น เขาจะไม่กลั่นแกล้งครอบครัวพ่อค้าเล็กๆ เพื่อเงินเพียงห้าพันตำลึงเด็ดขาด บางทีอาจเป็นใครในจวนอ๋องแอบอ้างเหตุนี้เพื่อจะกรรโชกทรัพย์ ถ้าหากเป็นเช่นนี้เรื่องราวก็จัดการได้ง่ายแล้ว ในเมื่อมีคนหมายจะหาผลประโยชน์ เพียงจับตัวคนผู้นั้นออกมาก็เรียบร้อย
ดังนั้นนางจึงเอ่ยกับฉู่เซิ่งว่า “ท่านเองก็เห็นแล้ว บ้านข้าไร้ของมีค่า ไม่อาจนำเงินห้าพันตำลึงออกมาได้จริงๆ แต่ไรมาได้ยินว่าหลางอ๋องรักราษฎรดุจลูกหลาน คิดว่าท่านอ๋องเองก็คงไม่ปรารถนาจะได้ชื่อว่าชนชาวบ้านบาดเจ็บแล้วยังบีบคั้นให้สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่รู้พ่อบ้านฉู่พอจะมีหนทางช่วยเหลือข้าหรือไม่”
ระหว่างสนทนา ฉู่เซิ่งก็ถูกเชิญเข้าบ้านและมีน้ำชายกมาต้อนรับแล้ว เมื่อเห็นว่าจังหวะเวลากำลังพอเหมาะ เขาก็เอ่ยปากช้าๆ “ท่านอ๋องของพวกเราใจดีมีเมตตา ย่อมไม่ปรารถนาจะบีบคั้นครอบครัวพวกเจ้าจนถึงตาย ทว่าไร้กฎเกณฑ์ย่อมขาดระเบียบ หากละเว้นพวกเจ้าแต่เพียงเท่านี้ มิใช่ทำให้คนทั่วหล้านึกว่ารถม้าของท่านอ๋องคิดจะล่วงเกินก็ล่วงเกินได้หรอกหรือ สิ่งของพระราชทานถูกทำให้ชำรุดเสียหาย พึงรู้ไว้ว่าหากพูดให้ร้ายแรง…นั่นก็คือศีรษะต้องหลุดจากบ่าเชียวนะ”
ชุยจงฟังมาถึงตรงนี้ก็ใบหน้าถอดสี สามัญชนทั่วไปมีหรือจะคิดว่าสักวันจะไปข้องเกี่ยวกับสิ่งของจากในรั้วในวังได้ กลัวแต่ว่าหากเรื่องบานปลาย บุตรชายตนอาจต้องถูกลากคอไปประหารที่หน้าตลาดจริงๆ
เขาจึงกล่าวเสียงสั่นทันที “ข้ายินดีไปเป็นบ่าวในจวนเพื่อชดใช้ค่าเสียหายของท่านอ๋องขอรับ”
ฉู่เซิ่งมีสีหน้าลำบากใจ “ในจวนยังขาดคนทำขนมอยู่คนหนึ่งจริงๆ แต่น่าเสียดายท่านอ๋องของพวกเรามีความเคยชินที่พิกลอยู่บ้าง ท่านไม่ชอบกินอาหารที่ปรุงโดยผู้สูงวัย เกรงว่าต่อให้เจ้าอยากเข้าทำงานเพียงไรก็ไม่เหมาะ”
ฉยงเหนียงที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างได้จังหวะเอ่ยแทรก “ความเคยชินที่พิกลของท่านอ๋องพบได้ค่อนข้างยากทีเดียว ไม่รู้ว่าคนเช่นไรจึงจะมีโชคดีสามารถทำอาหารที่จะได้เข้าปากท่านอ๋อง”
ฉู่เซิ่งกล่าว “หากอยากจะปัดเป่าเคราะห์ให้พี่ชายเจ้าจริงๆ ข้าก็มีงานอยู่ตำแหน่งหนึ่งให้เจ้าไปลองทำดูได้ ตอนนี้ในจวนขาดแม่ครัวที่ถนัดทำขนมอยู่พอดี ไม่กี่วันก่อนท่านอ๋องกินขนมของเจ้าแล้วพึงพอใจทีเดียว…”
ฉยงเหนียงฟังจบก็เอ่ยถามพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น “ไม่รู้ว่าแม่ครัวในจวนจะได้ค่าจ้างเดือนละเท่าใด”
ปลายคางของฉู่เซิ่งเชิดสูงยิ่งกว่าเก่า “จวนหลางอ๋องดีต่อข้ารับใช้เสมอมา ตามปกติควรได้เงินห้าตำลึง ทว่าเจ้าไปหนนี้เป็นการชดใช้ความผิดของพี่ชาย ทุกเดือนจึงต้องหักเงินออกจำนวนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ราวห้าเฉียน”
ฉยงเหนียงไม่ได้พูดจา ทว่าลูกคิดในใจกำลังดีดคำนวณไม่หยุด จวนหลางอ๋องอะไรนี่ช่างมีเมตตาเสียเหลือเกิน คาดว่าระหว่างนั้นดอกเบี้ยก็คงจะไม่งดเว้น หากคำนวณตามนี้ ต่อให้เป็นแม่ครัวจนตายก็ใช้คืนไม่หมดสิ้นแน่