องค์หญิงยงหยางเดิมทียังประดับยิ้มบนใบหน้า ทว่าพอเห็นฉยงเหนียงที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะเตี้ยของฉู่เสียชัดถนัดตา สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนแล้วกล่าวทั้งน้ำตา “นางเป็นใครกัน ท่าน…ท่านรับนางบำเรอคนใหม่อีกแล้วหรือ!”
ผู้ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังองค์หญิงยงหยางคือบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขาเห็นฉยงเหนียงที่เพิ่งจะเงยหน้าแล้วเช่นกัน ดวงตาจึงเบิกกลมในทันที “น้องสาว ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้!”
ผู้ที่มามิใช่ใครอื่น…ก็คือหลิ่วเจียงจวีพี่ชายในวันวานของฉยงเหนียง
เดิมทีองค์หญิงยงหยางกำลังจะโวยวาย ไม่นึกว่าคุณชายสกุลหลิ่วที่อยู่ด้านหลังซึ่งเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหลวงที่อารักขานางออกจากวังมาวันนี้จะเรียกแม่นางคนนั้นว่า ‘น้องสาว’ นางจึงเงียบเสียงเตรียมจะฟังความให้กระจ่างก่อน
พอเห็นหลิ่วเจียงจวีจับจ้องฉยงเหนียงอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง อารมณ์ของฉู่เสียก็พลันไม่ปลอดโปร่งนัก เขาจึงสั่งการฉยงเหนียงทันที “ข้ามีแขก เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ฉยงเหนียงพลันได้พบอดีตพี่ชายที่นี่ ในใจก็ประดังไปด้วยสารพันอารมณ์เช่นกัน ตอนเด็กนางกับหลิ่วเจียงจวีมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวนัก ทว่าเมื่อพี่ชายโตขึ้นมีงานที่จะต้องทำ เขาไม่ค่อยได้กลับมาจวน จึงเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่แน่นแฟ้นเท่าพี่น้องคู่อื่น
เมื่อแรกที่ข้าถูกส่งตัวออกจากจวนสกุลหลิ่ว พี่ชายผู้นี้ก็คงไม่อยู่ในจวน คาดว่าน่าจะไปร่วมการฝึกซ้อมขององครักษ์วังหลวง เพราะหากว่าเขาอยู่ด้วยก็คง…
ฉยงเหนียงไม่ได้คิดต่อ เพียงนึกถึงหนังสือรวมบทกวีที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของเล่มนั้น นางก็พลันตระหนักได้ว่าคนสกุลหลิ่วต้องไม่อยากให้นางที่เป็นบุตรสาวสกุลชุยมาขวางทางสู่การเป็นสตรีผู้มากความสามารถของหลิ่วผิงชวน ดังนั้นนางจึงทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของหลิ่วเจียงจวี รีบก้มหน้าสาวเท้าเดินเฉียดไหล่อดีตพี่ชายออกไป
จิตใต้สำนึกของหลิ่วเจียงจวีอยากจะไล่ตามนางไป ทว่าจนใจที่ตนกำลังปฏิบัติหน้าที่อารักขาองค์หญิงระหว่างออกจากวัง ย่อมไม่อาจจากไปแม้ครึ่งก้าว
ชื่อเสียงของหลางอ๋องย่ำแย่เหลือทน ใจเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาวจึงประสานมือสอบถามโดยไม่รั้งรอ “ข้าน้อยหัวหน้าองครักษ์วังหลวงหน่วยกิเลน ขอบังอาจเรียนถามหลางอ๋อง น้องสาวข้าน้อยมาอยู่ในจวนของท่านอ๋องด้วยสาเหตุใด”
ฉู่เสียลุกขึ้นยืนก่อนย้อนถามอย่างไม่อินังขังขอบ “พักก่อนคุณหนูหลิ่วผิงชวนที่ข้าเห็นในงานเลี้ยงมิใช่น้องสาวร่วมอุทรของเจ้าหรือไร ไฉนแม่ครัวในจวนข้าถึงกลายเป็นคุณหนูสกุลหลิ่วไปเสียแล้วเล่า”
ฉู่เสียคาดการณ์อย่างแม่นยำว่าความลับของสกุลหลิ่วนี้เพียงรู้กันอยู่ในใจทว่าไม่อาจกล่าวออกจากปาก คำถามของเขาจึงทำให้หลิ่วเจียงจวีเงียบกริบดังคาด
เมื่อแรกที่ฉยงเหนียงถูกส่งตัวคืนสกุลชุย หลิ่วเจียงจวีไม่อยู่ในจวนพอดี รอจนกลับมาน้องสาวก็เปลี่ยนตัวไปแล้ว ใจเขาห่วงพะวงถึงฉยงเหนียง อยากจะรับนางกลับมา แต่จนใจที่มารดาสะอื้นไห้อย่างปวดร้าว ซักถามเขาว่าหากรับฉยงเหนียงกลับมาแล้ว หมายจะให้น้องสาวแท้ๆ ตกอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วนหรือไร บิดาก็เอาแต่ส่ายหน้าทอดถอนใจว่าไม่เหมาะเช่นกัน
หลิ่วเจียงจวีเห็นบิดามารดายับยั้งห้ามปราม จึงเลิกวุ่นวายเรื่องรับน้องสาวกลับมาอีก เพียงเตรียมจะหาเวลาว่างไปเยือนสกุลชุยเพื่อดูความเป็นอยู่ของนาง หากสามีภรรยาสกุลชุยไม่อาจดูแลนางให้ดี เขาก็จะมอบเงินให้สกุลชุยแล้วพานางออกมา ต่อไปเรื่องออกเรือนของนางก็ให้พี่ชายคนนี้ดูแลเป็นใช้ได้
ทว่าจนใจที่งานในวังไม่อาจปลีกตัวโดยพลการ เขายังคงไม่ว่างเรื่อยมา เดิมทีคิดว่ารอหลังเทศกาลซั่งซื่อจะลาหยุดออกจากวัง ไม่นึกว่ากลับได้มาพบฉยงเหนียงที่นี่
แม้เคยคิดเอาไว้ว่าความเป็นอยู่ของน้องสาวคงไม่ราบรื่น แต่เมื่อได้เห็นนางในชุดหรูฉวินเนื้อหยาบคุกเข่าเป็นผู้น้อยรับใช้อย่างต่ำต้อยอยู่ต่อหน้าผู้อื่น หลิ่วเจียงจวีก็ยังรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกบีบแน่น