บทที่เก้า
หลังจากหลิ่วเจียงจวีอารักขาองค์หญิงยงหยางกลับถึงวังและผลัดเวรเสร็จสิ้น เขาไม่ได้กลับห้องพักที่หน่วยองครักษ์วังหลวง ทว่าไปรับป้ายสำหรับออกจากวังแล้วขี่ม้ากลับจวนสกุลหลิ่วพร้อมใบหน้าที่เกลื่อนด้วยโทสะ
ระหว่างเดินเข้าจวน เขาสอบถามจากข้ารับใช้ ก็รู้ว่ามารดาอยู่ในห้องของหลิ่วผิงชวน
เนื่องจากงานเลี้ยงในวังพรุ่งนี้เหล่าคุณหนูของจวนต่างๆ ที่อายุถึงเกณฑ์ล้วนสามารถเข้าเฝ้าได้ เรื่องใหญ่เพียงนี้จะสุกเอาเผากินได้อย่างไรกัน ดังนั้นเหยาซื่อจึงสั่งคนนำผ้าดิ้นบรรณาการสีน้ำทะเลสาบในคลังสิ่งของซึ่งได้รับพระราชทานจากฮองเฮาไปตัดชุดกระโปรงให้หลิ่วผิงชวนตั้งแต่แรก ทั้งสั่งหญิงรับใช้อาวุโสยกกล่องสินเจ้าสาวของตนมาให้หลิ่วผิงชวนเลือกปิ่นมุกตามใจชอบให้เข้าคู่กับชุดกระโปรง
หลิ่วผิงชวนยืนอยู่หน้าคันฉ่องสำริดพลางเสียบปิ่นบนศีรษะด้วยสีหน้ายินดีปรีดา ในใจคือความอิ่มเอมตื่นเต้นที่ยากจะบรรยาย ชาติก่อนนางเพียงฟังจากปากผู้อื่นเรื่องที่ฉยงเหนียงทอประกายเจิดจรัสในงานเลี้ยงของวังหลวง ตอนนั้นนางฟังด้วยความริษยา ในใจแสนเคียดแค้นฉยงเหนียงที่ทำตัวเป็นนกเขายึดรังสาลิกา ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีสักวันที่ตนกำลังได้กลายเป็นผู้ซึ่งสตรีทั่วเมืองล้วนต้องอิจฉา
ไม่กี่วันมานี้มารดาเชิญขุนนางหญิงที่เคยทำงานในวังมาที่จวนเพื่อสอนธรรมเนียมในวังให้นางอย่างละเอียด นางก็ตั้งใจเรียนรู้มาไม่น้อย
ต่อให้เกิดเป็นคนมาแล้วสองชาติภพ เมื่อแรกสุดที่นึกถึงงานเลี้ยงอันใหญ่โตเพียงนั้น นางเองก็ขลาดกลัวอยู่บ้าง ทว่าระยะนี้เมื่อผู้คนพากันเปล่งเสียงชื่นชมยามมองพิจารณาเครื่องแต่งกายทั่วร่างนาง ทั้งอ่านและส่งต่อหนังสือรวมบทกวีของนาง ก็ทำให้นางมั่นใจในตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ
มันสมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว คำสรรเสริญเหล่านี้เดิมทีก็เป็นของนาง ตอนนี้สวรรค์เบื้องบนมีตา ให้โอกาสนางได้รวบรวมสิ่งที่สูญเสียไปคืนมาทีละอย่างก็เท่านั้น รอจนถึงวันพรุ่งนี้…ชื่อเสียงของข้าหลิ่วผิงชวนก็จะแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว!
เหยาซื่อมองดูบุตรสาวที่แต่งตัวงามตระการ หัวใจก็เอ่อล้นด้วยความปลาบปลื้มเช่นกัน มองอย่างไรหลิ่วผิงชวนก็ละม้ายตนในวัยแรกรุ่น ขอเพียงพรุ่งนี้บุตรสาวได้ดังใจตน ต่อไปผู้อื่นก็ไม่อาจนำเรื่องอุ้มลูกผิดคนมาเป็นประเด็นนินทาส่งเดชได้อีก
ยามที่สองคนแม่ลูกล้วนดีอกดีใจกันอยู่นั้น สาวใช้ก็มารายงานว่า “คุณชายต้องการจะพบฮูหยินเจ้าค่ะ”
เหยาซื่อที่ประหลาดใจเล็กน้อยกล่าวปนยิ้ม “วันนี้ไม่ใช่วันหยุดของทางการนี่ ไฉนเขากลับมาเล่า รีบไปเรียกเขาเข้ามาสิ จะได้มาดูชุดใหม่ของน้องสาวพอดี”
พอหลิ่วเจียงจวีสาวเท้าเดินเข้ามา เขาก็โยนหนังสือรวมบทกวีหนึ่งเล่มใส่หน้าหลิ่วผิงชวนทันทีโดยไม่ได้ทำความเคารพมารดาก่อน
มือของเขาหนักยิ่ง หลิ่วผิงชวนถูกตบด้วยหนังสือจนเจ็บแปลบ อดไม่ได้ต้องเปล่งเสียงร้องโอ๊ยออกมา
เหยาซื่อตะลึงงัน หยุดโบกพัดกลมในมือแล้วตวาดเสียงกร้าวทันใด “นี่ไปโกรธอะไรมาจากข้างนอก ถึงได้วิ่งมาระบายอารมณ์ใส่น้องสาวเจ้าเยี่ยงนี้!”
หลิ่วเจียงจวีตอบด้วยใบหน้าบึ้งตึง “นางคู่ควรจะเป็นน้องสาวของข้าด้วยหรือ แต่งกลอนไม่เป็นก็มิใช่ข้อบกพร่องอะไรที่ไม่อาจสู้หน้าผู้คนเสียหน่อย แต่นี่กลับขโมยผลงานของฉยงเหนียงไปรวมเล่ม แล้วยังเอาไปแจกให้ขายหน้าผู้อื่นไปทั่ว!”
หลิ่วผิงชวนกำลังเริงร่า แต่กลับถูกปาด้วยหนังสือจนเจ็บดั้งจมูก ในใจนางจึงพวยพุ่งด้วยเพลิงโทสะแล้วเช่นกัน หากอยู่ที่สกุลชุยและฝ่ายตรงข้ามคือชุยฉวนเป่า นางก็คงเต้นผางด่าทอโดยไร้ข้อกริ่งเกรงไปนานแล้ว
ทว่าเมื่อเหลือบมองหลิ่วเจียงจวีปราดหนึ่ง อีกฝ่ายแม้ยังเป็นเด็กหนุ่ม แต่ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่โดยกำเนิด ทั้งสังกัดหน่วยองครักษ์วังหลวง เพียงชุดบนร่างก็ดูเปี่ยมพลังอำนาจ น่าเกรงขามโดยที่ยังไม่ต้องมีโทสะด้วยซ้ำ
ดังนั้นคำก่นด่าอันเจ็บแสบที่วนเวียนตรงริมฝีปากนางอยู่หลายรอบจึงถูกสายตาที่จ้องเขม็งของเขาตอกกลับมาเสียอย่างนั้น ประกอบกับนางร้อนตัวที่เรื่องขโมยบทกลอนถูกผู้อื่นล่วงรู้ จึงได้แต่เอ่ยอย่างหวาดๆ “พี่ชายไปฟังคำยุยงของพวกปากอยู่ว่างคนใดมา…”