บทที่ 9
คิ้วเรียวสวยของเสิ่นหยวนขมวดมุ่น
นางไม่รู้จักสาวใช้ตรงหน้านี้ แต่จุดสำคัญคืออีกฝ่ายแต่งตัวยั่วยวนปานนี้ กิริยาวาจาก็ดูเหลาะแหละเพียงนั้น…
นึกถึงว่าชาติก่อนเสิ่นหงถูกเซวียอี๋เหนียงจงใจให้เสิ่นหรงกับเซวียอวี้ซู่ล่อลวงจนสุดท้ายกลายเป็นมีสภาพเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยวนก็อดจะเย็นเยียบไม่ได้
นางไม่อยากตอบคำถามของสาวใช้ผู้นั้น จึงหันหน้าไปมองชิงเหอ
ชิงเหอเข้าใจ มองสาวใช้ผู้นั้นพลางพูดว่า “นี่คือคุณหนูใหญ่ เจ้ายังไม่รีบหลบให้คุณหนูใหญ่เข้าไปอีก”
สาวใช้นางนั้นได้ฟังแล้วก็ยอบตัวคารวะเสิ่นหยวน ทว่าก็ทำอย่างขอไปที ถ้อยคำที่เปล่งออกมายิ่งไร้ซึ่งความจริงใจ “บ่าวจื่อเซียวคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนไม่แม้แต่จะมองนาง ยกเท้าก้าวเดินตรงเข้าลานเรือน
เสิ่นหงอยู่ในห้องหนังสือที่ห้องข้างฝั่งตะวันตก มือกำลังถือ ‘บันทึกพิธีการ’ อ่านอยู่ ได้ยินเสียงที่ด้านนอกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจากหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งออกไป พอเห็นว่าเป็นเสิ่นหยวนมาหาจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้
เวลานี้เสิ่นหยวนเดินเข้ามาในห้องแล้ว
“พี่หญิงใหญ่” บนใบหน้าเสิ่นหงมีรอยยิ้มเอียงอาย เอ่ยปากเรียก
เขามีใบหน้าเกลี้ยงเกลาน่ามอง แต่เนื่องจากพูดไม่ค่อยคล่อง ทำให้ในความทรงจำของเสิ่นหยวนจดจำว่าเขามีนิสัยเงียบขรึม พูดน้อย ทั้งยังขี้อายมาแต่ไหนแต่ไร ชาติก่อนเสิ่นหยวนไม่เคยให้ความสนใจในตัวน้องชายผู้นี้เสียเท่าไร กลับเป็นตอนที่นางแต่งไปสกุลหลี่แล้วถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา เคยมีหนหนึ่งที่น้องชายแสนจะขี้อายอย่างเขาบุกเข้าสกุลหลี่ไปโต้เถียงกับคนสกุลหลี่
จนถึงตอนนี้เสิ่นหยวนก็ยังจำท่าทางแค้นเคืองของเสิ่นหงซึ่งมีต่อความไม่เป็นธรรมในเวลานั้นได้ ใบหน้าเขาแดงก่ำ คอขึ้นเส้นเลือดยามเผชิญหน้าคนสกุลหลี่
คิดถึงตรงนี้เสิ่นหยวนพลันขอบตาร้อนผ่าวอยู่บ้าง แต่ก็เก็บสีหน้าผิดปกติของตนเองทันที อมยิ้มพลางเอ่ยเรียก “หงเอ๋อร์”
เสิ่นหงไม่ค่อยพูด แค่พยักหน้าให้แล้วผายมือเชิญนางนั่งลง
เสิ่นหยวนนั่งลง เพียงครู่เดียวก็มีสาวใช้ยกถาดเข้ามาวางน้ำชาให้
เสิ่นหยวนมองสาวใช้นางนั้นอย่างพินิจ ท่าทางอายุราวสิบสามสิบสี่ แม้รูปโฉมจะไม่อาจเทียบกับจื่อเซียว แต่ก็ดูสดใสจิ้มลิ้มอยู่หลายส่วน
เสิ่นหยวนเก็บสายตากลับมา เงยหน้ามองไปนอกหน้าต่างก็เห็นสาวใช้นามจื่อเซียวที่ได้เห็นก่อนหน้านี้กำลังยืนอยู่หลังต้นกล้วยน้ำว้าต้นหนึ่งในลานเรือน หรี่ตามองเข้ามาในเรือน ครั้นสบเข้ากับสายตาเสิ่นหยวนนางก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนด้านข้าง
เสิ่นหยวนหน้าไม่เปลี่ยนสี ยังคงมีรอยยิ้มอยู่สองส่วน มองเสิ่นหงพลางพูดว่า “พี่รู้ว่าเจ้าชอบเขียนอักษรและอ่านหนังสือ กลับจากฉางโจวคราวนี้จึงซื้อจานฝนหมึกศิลาลายไหมแดง หมึกเขม่าสน และหนังสือใหม่อีกสองเล่มมาให้เจ้า ไม่รู้เจ้าจะชอบหรือไม่”
พูดพลางให้ชิงเหอยกของไปไว้ตรงหน้าเสิ่นหง
เสิ่นหงเห็นแล้วก็ยื่นมือมารับไป แสดงความดีใจออกมาทางสีหน้าทันที “ขอบคุณพี่หญิงใหญ่”
เสิ่นหยวนเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ รอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้น
ต่อจากนั้นสองพี่น้องก็คุยเล่นกันครู่หนึ่ง เสิ่นหงพูดช้าและกระชับยิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ บางครั้งเขาก็ยังมิแคล้วติดอ่างอยู่เล็กน้อย
หากเป็นในอดีตเสิ่นหยวนได้ยินเขาพูดติดอ่างจะต้องหัวเราะเยาะแน่ ในใจเสิ่นหงเป็นกังวลกับเรื่องนี้ ใบหน้าจึงได้แดงเถือก ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือคราวนี้เสิ่นหยวนไม่ได้มีท่าทีจะหัวเราะเยาะเขาแม้แต่นิดเดียว กลับแย้มยิ้มฟังเขาพูดอย่างตั้งใจโดยตลอด
เสิ่นหงค่อยๆ คลายใจ ต่อมาก็เริ่มพูดมากขึ้นกว่าตอนแรก
เสิ่นหยวนฟังเขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มโดยตลอด ไม่มีท่าทีรำคาญแม้แต่น้อย ครั้นเสิ่นหงตระหนักได้ว่าตนเองถึงกับพูดอะไรไปมากมายต่อหน้าเสิ่นหยวนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาก็ตกใจอยู่เล็กน้อย
พี่สาวคนนี้ของข้าไม่เคยมีครั้งไหนที่อดทนฟังข้าพูดเหมือนอย่างวันนี้ แล้วไฉนวันนี้กลับ…