เช้าวันรุ่งขึ้นเสิ่นหยวนแต่งตัวเรียบร้อย หลังสั่งชิงเหอกับชิงจู๋ให้เฝ้าเรือนแล้ว ก็พาสวีมามากับไฉ่เวยนั่งรถม้าไปยังวังหลวง
จวนสกุลเสิ่นอยู่ไม่ห่างจากวังหลวงนัก ไม่ถึงสองก้านธูป ก็มาถึงหน้าประตูวัง
หากมิใช่พระญาติหรือขุนนางคนสำคัญ รถม้าไม่อาจเข้าประตูวังได้ตามใจ เสิ่นหยวนจึงจับมือไฉ่เวยประคองตัวลงจากรถมายืนข้างๆ ดูราชองครักษ์ตรวจสอบสิ่งของที่นางนำมาให้ท่านป้า
ขันทีน้อยที่ไปถ่ายทอดคำพูดยังจวนสกุลเสิ่นเมื่อวานกำลังยืนอยู่ตรงประตูวัง พอเห็นเสิ่นหยวนแล้วก็รีบวิ่งเหยาะๆ มาด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวกับนาง “คุณหนูเสิ่น ท่านมาแล้วหรือขอรับ เสียนเฟยมีรับสั่งให้ผู้น้อยมารับท่านที่นี่ ผู้น้อยมารออยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ”
เขาหันหน้าไปพูดกับเหล่าราชองครักษ์ที่กำลังตรวจสอบสิ่งของอยู่ว่า “คุณหนูท่านนี้เป็นหลานสาวของเสียนเฟย ของที่นำมาล้วนเป็นของฝากจากบ้านเกิดที่เสียนเฟยมีรับสั่งให้นำมา ต้องขอรบกวนท่านราชองครักษ์ให้เร่งมือหน่อย เสียนเฟยทรงรออยู่”
ราชองครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวตอบเสียงกระโชกโฮกฮาก “ไม่ว่าเป็นญาติของเจ้านายองค์ใด นำสิ่งของอะไรมาก็ล้วนต้องถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน นี่เป็นกฎ กงกงน้อยก็เป็นคนในวัง กฎเล็กๆ แค่นี้ไม่รู้เชียวหรือ ประตูวังนี้ไหนเลยจะให้คนเข้าออกได้ตามใจชอบ”
ขันทีน้อยผู้นั้นได้ยินแล้วก็หน้าแดงเถือกทันที กำลังจะก้าวไปเถียงกับราชองครักษ์ผู้นั้น กลับถูกเสิ่นหยวนรั้งไว้ด้วยรอยยิ้ม “กงกง เชิญท่านมาทางนี้สักหน่อย”
พอขันทีน้อยหมุนตัวเดินมาแล้ว เสิ่นหยวนก็ส่งสัญญาณให้ไฉ่เวยนำขนมงาทอดเคลือบน้ำตาลให้เขากล่องหนึ่ง “นี่คือขนมประจำบ้านเกิดของเสียนเฟย ขนมงาทอดเคลือบน้ำตาล ท่านลองชิมดู”
ขันทีน้อยเองก็ไม่ได้เกรงใจนาง รับขนมมายัดเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เช่นนั้นผู้น้อยก็ไม่เกรงใจคุณหนูแล้ว ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ”
ราชองครักษ์ยังตรวจสอบสิ่งของในห่อผ้าอยู่ เสิ่นหยวนก็ไม่รีบ เพียงยืนรอเงียบๆ อยู่ข้างๆ
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงล้อรถเคลื่อนไปบนพื้นดังขลุกขลัก นางหันหน้าไปมองก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาช้าๆ
ราชองครักษ์ก้าวไปขวาง ตะโกนถามว่าเป็นผู้ใด แล้วมือเรียวยาวขาวผ่องข้างหนึ่งก็แหวกม่านรถสีน้ำเงิน โผล่ใบหน้างดงามดั่งหยกออกมา
เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาพริ้มเพราอย่างที่สุด
เสิ่นหยวนตกใจเล็กน้อย ก่อนเก็บสายตากลับมา เบือนหน้าหนีไปมองอิฐกำแพงสีแดงชาดที่ด้านข้างทันที
รถม้านี้กว้างขวางยิ่ง อีกทั้งผนังรถล้วนใช้ไม้ประดู่แกะเป็นลายวั่นจื้อจิ่น บนช่องหน้าต่างก็มีเขียนลายทองไว้ แค่เห็นก็รู้ว่าเจ้าของต้องสูงศักดิ์ไม่ธรรมดา
ราชองครักษ์ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดเสียงกระโชกโฮกฮากกับขันทีน้อย ยามนี้พอเห็นคุณชายผู้นี้กลับเดินไปถามด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าทันที “ซื่อจื่อ ท่านจะเข้าวังหรือขอรับ”
ชายหนุ่มที่ถูกเขาเรียกว่า ‘ซื่อจื่อ’ พยักหน้าให้เขา เสียงสุภาพสดใส ทว่าคำที่พูดออกมากลับกระชับยิ่งยวด “ฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ให้เข้าเฝ้า”
แม้สายตาเสิ่นหยวนจะมองไปที่อื่น แต่กลับตั้งใจฟังบทสนทนาทางด้านนั้น
นางรู้ว่าซ่งฮองเฮาเป็นน้องสาวของหย่งชางโหว คนหนุ่มผู้นี้มาหาฮองเฮา อีกทั้งราชองครักษ์ก็เรียกเขาว่าซื่อจื่อ หรือว่าเขาก็คือซ่งอวิ๋นชิง ซื่อจื่อของหย่งชางโหว?
แม้ชาติก่อนเสิ่นหยวนจะไม่เคยพบซ่งอวิ๋นชิง แต่ก็ได้ยินข่าวว่าเขามีรูปโฉมสง่างามยิ่ง ทั้งยังเป็นคนละมุนละม่อม ไม่ถือพิธีรีตอง เป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่พบเห็นได้ไม่มากท่านหนึ่ง
เวลานี้เองก็ได้ยินราชองครักษ์ผู้นั้นยิ้มพลางพูดว่า “เชิญซื่อจื่อเข้าวังขอรับ”
ความหมายคือจะให้ซ่งอวิ๋นชิงนั่งรถม้าตรงเข้าประตูวังเลย
เสิ่นหยวนเหลือบตามองไปเงียบๆ กลับเห็นซ่งอวิ๋นชิงกำลังก้มตัวลงจากรถม้า ทั้งยังพูดว่า “กฎไม่อาจยกเว้น”
ถึงกับจะเดินเข้าประตูวังเอง ทั้งยังกางสองแขนออกให้ราชองครักษ์ดูด้วยว่าบนร่างตนเองไม่ได้พกสิ่งของใด จากนั้นถึงก้าวเท้าเดินไปทางประตูวัง