บทที่ 10
เสิ่นหยวนคาดเดาอยู่ในใจเช่นนี้ แต่ภายนอกยังคงคารวะหลี่กุ้ยเหรินอย่างเคารพนบนอบ
หลี่กุ้ยเหรินรีบให้คนประคองนางลุกขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มนุ่มนวล “หลานสาวคนนี้ของเสียนเฟยหน้าตางดงามโดยแท้ วันนี้หม่อมฉันเห็นแล้วถึงได้เชื่อว่าเทพธิดาในภาพวาดเหล่านั้นมีตัวตนจริง” ยกมือถอดสร้อยปะการังแดงบนข้อมือ ก่อนพูดยิ้มๆ “นี่น้ำใจเล็กน้อยของข้า ขอคุณหนูเสิ่นอย่าได้รังเกียจ”
ปะการังแดงแต่ละเม็ดบนสร้อยข้อมือนี้มีขนาดเท่าเม็ดบัว ขัดจนเกลี้ยงเกลา สีสุกใสแวววาม แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นของสุดล้ำค่า เสิ่นหยวนไม่รู้ว่าควรรับไว้ดีหรือไม่ สายตาจึงมองไปทางเสียนเฟย
นางเห็นเสียนเฟยพูดยิ้มๆ “ในเมื่อกุ้ยเหรินตกรางวัลเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็รับไว้เถอะ”
ครานี้เสิ่นหยวนถึงได้ก้าวไปรับ ก่อนกล่าวขอบคุณ
หลี่กุ้ยเหรินรู้ว่าเสียนเฟยกับเสิ่นหยวนได้พบกันย่อมต้องมีเรื่องส่วนตัวมากมายให้พูดคุย นางนั่งต่ออีกประเดี๋ยวเดียวก็ลุกขึ้นกล่าวลาเสียนเฟย
เสิ่นหยวนมองเงาหลังแบบบางที่เดินไปไกลของหลี่กุ้ยเหริน คำนวณวันที่อีกฝ่ายคลอดองค์ชายรองในชาติก่อน คิดว่ายามนี้หลี่กุ้ยเหรินน่าจะมีครรภ์แล้ว พอนางคลอดองค์ชายรองสกุลหลี่ก็จะเฟื่องฟูขึ้น หลี่ซิวหยวนจะได้เป็นขุนนาง หลี่ซิวเหยาจะค่อยๆ ได้กุมอำนาจสามกองกำลังใหญ่…
เสิ่นหยวนใจหล่นวูบน้อยๆ ทว่าภายนอกยังคงสนทนากับเสียนเฟยอย่างนอบน้อมนุ่มนวล ทั้งยังให้สวีมามากับไฉ่เวยนำของฝากที่ตนนำมาจากฉางโจวมอบให้ ของเหล่านี้ล้วนเป็นท่านตาซื้อหาด้วยตนเองเพราะใจที่รักบุตรสาว
สวีมามาเดิมเป็นหัวหน้าสาวใช้ข้างกายมารดา ขณะอยู่ที่สกุลเฉินจึงได้พบเสียนเฟยบ่อยครั้ง ทว่าในตอนนั้นเสียนเฟยเป็นเพียงดรุณีน้อยแรกรุ่น ร่าเริง ไร้เดียงสา บัดนี้ได้พบอีกครั้งกลับผ่ายผอมแก่ตัวลงแล้ว ย่อมต่างคนต่างรู้สึกสะท้อนใจ
ในวังมีกฎเข้มงวด ที่เข้าวังมาได้เหมือนเสิ่นหยวนนี้นับว่าฮองเฮามีพระเมตตาเป็นพิเศษแล้ว ทว่าเวลาที่ได้พบกันก็มีจำกัด ดังนั้นเพียงครู่เดียวเสิ่นหยวนก็ต้องลุกขึ้นกล่าวลา
แม้เสียนเฟยจะอาลัย ทว่าก็ติดที่กฎระเบียบจึงได้แต่บอกลาเสิ่นหยวนทั้งที่น้ำตาซึม
ถึงนางจะให้กำเนิดบุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคน แต่องค์ชายทั้งสองล้วนสิ้นใจตามกันไปแล้ว เหลือเพียงบุตรสาวหนึ่งคนนามว่าจิ่งอวิ๋น อายุสิบเอ็ดปี เมื่อครู่ได้ยินว่าเสิ่นหยวนมาจึงออกมาพบนางเช่นกัน
เวลานี้เสียนเฟยกำลังมองจิ่งอวิ๋นพลางพูดกับเสิ่นหยวน “ข้ารู้ว่าร่างกายนี้ของข้าไม่ไหวแล้ว ไม่แน่วันใดอาจต้องไปหามารดาเจ้าแล้ว เรื่องอื่นนั้นช่างเถอะ แต่ข้าเป็นห่วงอวิ๋นเอ๋อร์ อยู่ในสถานที่อย่างวังหลวง นางไม่มีพี่น้องร่วมอุทร ภายภาคหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
จิ่งอวิ๋นมีนิสัยอ่อนโยน ได้ยินเช่นนี้ก็จับมือเสียนเฟยไว้พลางร้องไห้เรียก “เสด็จแม่”
เสิ่นหยวนเห็นแล้วก็ให้รู้สึกฝาดเฝื่อนในใจเช่นกัน
นางคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็พูดกับเสียนเฟยว่า “หม่อมฉันเห็นว่าหลี่กุ้ยเหรินเมื่อครู่ดูเป็นคนมีเมตตา ต่อไปเสียนเฟยมิทรงลองให้องค์หญิงไปใกล้ชิดนางดูเล่าเพคะ ถึงอย่างไรก็ไม่มีผลเสีย”
ขอเพียงจิ่งอวิ๋นเป็นที่ชื่นชอบของหลี่กุ้ยเหริน วันข้างหน้าย่อมจะไม่ตกระกำลำบาก
หากแต่นางก็ทำได้แค่แนะนำเพียงเท่านี้ เรื่องอื่นมิอาจพูดได้แล้ว
หลังออกมาจากตำหนักของเสียนเฟยยังคงเป็นขันทีน้อยที่ก่อนหน้านี้นำทางพวกนางเข้าวังออกมาส่งพวกนาง
ครั้นออกจากประตูวังแล้วมองซ้ายมองขวาไม่เห็นคนอื่น สวีมามาก็เอ่ยกับเสิ่นหยวนเสียงเบา “คุณหนู บ่าวเห็นสภาพของเสียนเฟย เกรงว่า…เฮ้อ” พูดพลางถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง สีหน้าสลดลง
เสิ่นหยวนฟังแล้วก็เงียบไปไม่พูดไม่จา