นางรู้ว่าเสียนเฟยจะสิ้นลมตอนปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อนปีหน้า ตราบใดที่เสียนเฟยยังอยู่ ในใจบิดากับเซวียอี๋เหนียงยังคงต้องกริ่งเกรงสกุลเฉินบ้างไม่มากก็น้อย ไม่กล้ายกเซวียอี๋เหนียงขึ้นเป็นภรรยาเอกเด็ดขาด ทว่าเมื่อใดที่เสียนเฟยไม่อยู่แล้ว…
มือขวาของเสิ่นหยวนเขี่ยสร้อยปะการังแดงที่สวมอยู่บนข้อมือซ้ายช้าๆ ในใจคิดว่าเห็นทีนางต้องหาวิธีทำให้บิดามองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเซวียอี๋เหนียงก่อนจะถึงปลายฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเสียแล้ว
อิ๋งชิวที่อ่อนโยนอ่อนหวานในใจเขาผู้นั้น ลับหลังกลับเป็นคนที่จงใจส่งคนมาล่อลวงสอนให้บุตรชายสายตรงของเขาเสียคน ทำลายชื่อเสียงของบุตรสาวคนที่สามของเขา บีบให้เซียงเอ๋อร์ทำได้เพียงแต่งให้เซวียอวี้ซู่ จนสุดท้ายถูกทรมานจนตาย
ถึงขั้นว่าการตายของท่านแม่ก็เป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเซวียอี๋เหนียงอย่างสลัดไม่หลุด
คิดถึงตรงนี้แววตาของเสิ่นหยวนก็เยียบเย็นลง
หากสืบได้ว่าการตายของมารดามีเซวียอี๋เหนียงอยู่เบื้องหลังจริงๆ นางจะไม่ละเว้นอีกฝ่ายเด็ดขาด
เสิ่นหยวนหลับตานั่งอยู่ในรถม้า มือขวาเขี่ยสร้อยปะการังแดงบนข้อมือซ้ายช้าๆ พร้อมกันนั้นในสมองก็คิดถึงเรื่องที่นางต้องทำหลังจากนี้
ทางด้านบิดานั้นจะต้องทำให้เขาไว้ใจตนเต็มที่ ส่วนทางด้านเซียงเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์ข้างกายพวกเขามีคนดีคนชั่วปะปนกัน ต้องกำจัดคนชั่วเหล่านั้นทิ้งไปโดยเร็วที่สุด ทางด้านเซวียอี๋เหนียง…
เวลานี้เสิ่นหยวนพลันสังเกตเห็นว่ารถม้าโคลงเคลงรุนแรงทีหนึ่ง จากนั้นก็หยุดนิ่งกับที่ นางหวิดจะศีรษะกระแทกเข้ากับผนังรถแล้ว
นางลืมตาขึ้น ให้ไฉ่เวยลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังไฉ่เวยลงไปแล้ว นางก็ยื่นมือไปแง้มม่านหน้าต่างออกดูด้านนอก จึงเห็นว่าสวีมามากำลังคุยอยู่กับสารถี สีหน้าไม่สู้ดีอยู่บ้าง
อีกครู่หนึ่งไฉ่เวยก็เปิดม่านรถม้าขึ้นจากด้านนอก เชิญให้นางลงไป “เมื่อครู่ล้อของรถม้าหลุด สารถีบอกว่าไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องหาคนมาซ่อม หรือไม่ก็ไปจ้างรถม้าแถวนี้มาพาคุณหนูไปส่ง แต่สวีมามาบอกว่าถ้าจะซ่อมล้อก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมจนถึงเมื่อไร จ้างรถม้าข้างนอก สวีมามาก็บอกว่าไม่สะอาด ดังนั้นจึงให้สารถีรีบกลับจวนไปบังคับรถม้าอีกคันมารับคุณหนู ทว่าตอนนี้ต้องขอให้คุณหนูไปรออยู่ข้างๆ สักครู่เจ้าค่ะ”
ไม่มีเหตุผลให้นั่งอยู่ในรถม้าที่ชำรุดอยู่กลางถนนต่อ เสิ่นหยวนจึงจับมือไฉ่เวยประคองตัวลงจากรถ
พอลงมาแล้ว เสิ่นหยวนเงยหน้าขึ้นก็เห็นด้านข้างมีหอสุราอยู่แห่งหนึ่ง
เหนือประตูใหญ่หอสุรามีป้ายพื้นดำอักษรทองแขวนอยู่ เขียนด้วยอักษรทาส ว่า ‘หอจุ้ยเซียว’ เมื่อมองตั้งแต่ด้านนอกไปถึงด้านในก็ดูโบราณเรียบง่ายเป็นที่สุด
สวีมามาเดินออกมาจากในร้าน ก่อนกล่าวกับเสิ่นหยวนว่า “คุณหนู เมื่อครู่บ่าวไปจองห้องบนชั้นสองไว้แล้ว ให้ไฉ่เวยประคองท่านขึ้นไปนั่งในห้องนะเจ้าคะ บ่าวจะเฝ้าอยู่ที่โถงใหญ่ชั้นล่าง หากสารถีบังคับรถม้ามาถึง บ่าวจะขึ้นไปตามท่านทันที”
โถงใหญ่ชั้นล่างมีคนเข้าออกเป็นระยะ เสิ่นหยวนกับไฉ่เวยล้วนเป็นหญิงสาว นั่งอยู่ในนั้นย่อมดูไม่ค่อยดี แต่สวีมามาอายุมากแล้วจึงไม่ต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้
การจัดการนี้ของสวีมามาทำได้เหมาะสมยิ่ง ดังนั้นเสิ่นหยวนจึงไม่คัดค้าน พยักหน้าให้สวีมามา แล้วพาไฉ่เวยเดินขึ้นบันไดไปทันที
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านคนหนึ่งนำทางอยู่ด้านหน้า ขณะที่เดินเขาก็ยังพูดเจื้อยแจ้วไปด้วย “แม่นางโชคดีโดยแท้ เดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท เดือนนี้ในเมืองหลวงเริ่มคึกคักแล้ว มีแขกจากต่างถิ่นจำนวนมากรุดมาชมความครึกครื้น ระยะนี้ร้านเราก็ขายดี ถึงจะมีห้องส่วนตัวอยู่เป็นสิบๆ ห้อง แต่ก็ล้วนมีแขกเต็มทุกวัน ห้องที่เมื่อครู่ท่านจองไปเป็นห้องสุดท้ายพอดี”
พูดพลางเดินมาถึงสุดปลายระเบียงยาวชั้นสอง