เหยาซื่อฟังจบท่าทีขึงขังก็หดหาย อันที่จริงเรื่องหนังสือรวมบทกวีนี้ ตอนที่ฉยงเหนียงยังอยู่ในสกุลหลิ่วก็เริ่มจัดการไปแล้ว เพียงแต่ฉยงเหนียงรวบรวมบทกลอนไปไว้ที่ห้องหนังสือไม่ทันไร เรื่องชาติกำเนิดก็ถูกเปิดเผยออกมา ถัดจากนั้นก็คือเรื่องที่สองสกุลสลับคืนบุตรสาว
ยามที่ร้านหนังสือซึ่งติดต่อไว้ก่อนหน้านี้จะมารับบทกลอนที่รวมเล่มไว้ เหยาซื่อก็เคยถามหลิ่วเมิ่งถังไปแล้วเช่นกัน ตอนนั้นผู้เป็นสามีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งทดสอบแล้วว่าหลิ่วผิงชวนมีความรู้ด้านโคลงกลอนจริงๆ จึงให้คนจากร้านหนังสือนั้นรับบทกลอนไป
เดิมทีนึกว่ากระทั่งภูตผีเทพเซียนก็ไม่ล่วงรู้ จู่ๆ พลันได้ยินบุตรชายเปิดโปงความลับออกมา เหยาซื่อจึงสะดุ้งจนตัวโยน “เจ้าไปฟังใครพูดมา!”
ตอนแรกหลิ่วเจียงจวีคิดว่าหลิ่วผิงชวนแอบเห็นบทกลอนที่ฉยงเหนียงทิ้งไว้ในห้องหนังสือแล้วนำไปรวมเล่มเอง นึกไม่ถึงเลยมารดากลับมีสีหน้าร้อนตัวเช่นกัน ในใจเขาจึงพลันประดังด้วยสารพันความรู้สึก “ท่านแม่ หรือว่าท่านก็รู้เห็นด้วย?”
เหยาซื่อถูกถามจนกระดาก อย่างไรเสียนางก็มาจากตระกูลผู้ดีมีการศึกษาสูง ย่อมรู้เหตุผลว่าการลักขโมยงานเขียนนั้นน่าอดสูเพียงใด กระนั้นนางก็ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ผิงชวนหวนคืนบ้านมาช้านัก แม้หมั่นเพียรใฝ่เรียนรู้ก็ยังมีข้อบกพร่องที่ไม่อาจไล่ตามผู้อื่นทัน สมัยนี้ไม่เหมือนราชวงศ์ก่อน อันคำว่า ‘ไร้สามารถคือคุณธรรมของสตรี’ นั้นมิได้ถูกเน้นหนักอีกแล้ว ใครบ้างไม่รู้ว่าฝ่าบาทพระองค์นี้ทรงโปรดสตรีที่แตกฉานอักษรและภาพวาดเป็นที่สุด ตอนนี้ชาติกำเนิดของน้องสาวเจ้าถูกบางคนได้ยินแล้วนำมาพูดอย่างสนุกปาก หนังสือรวมบทกวีเล่มนี้อุดปากพวกเขาได้พอดี อีกอย่างฉยงเหนียงกลับสกุลชุยไปแล้ว บทกลอนเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับนาง หากชี้แจงกับนางว่าจะใช้สิ่งนี้มากอบกู้ชื่อเสียงให้ผิงชวน คาดว่านางคงจะยินยอมเป็นแน่”
หลิ่วเจียงจวีรู้จักความสามารถในการเถียงเอาตัวรอดของมารดาดี ยิ่งเห็นหลิ่วผิงชวนสวมอาภรณ์หรูหราพร้อมไข่มุกหยกเต็มศีรษะ แล้วนึกถึงฉยงเหนียงในชุดผ้าเนื้อหยาบเรือนผมยุ่งสยายที่เห็นในจวนหลางอ๋องวันนี้ ในใจเขาก็ปวดร้าวจนหางตาเปียกชื้นนิดๆ
“ท่านแม่! ท่านเลอะเลือนเกินไปแล้ว ผิงชวนเป็นบุตรสาวของท่าน แล้วฉยงเหนียงที่เลี้ยงดูมาหลายปีเล่า ท่านสามารถโยนนางออกจากความคิดได้หรือไร! ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้นางตกระกำลำบากไปเป็นแม่ครัวอยู่ในจวนหลางอ๋องแล้ว วันๆ ต้องใช้ชีวิตด้วยการดูสีหน้าผู้อื่น นางถูกประคบประหงมมาแต่เล็ก มีหรือจะทนรับความลำบากเยี่ยงนั้นได้!”
เหยาซื่อตระหนกวูบ หลังจากซักถามอย่างละเอียดถึงได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง ทว่าพอได้ยินเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าเป็นเพราะฉยงเหนียงเห็นหนังสือรวมบทกวีที่จวนหลางอ๋อง จำได้ว่าเป็นบทกลอนของตน ด้วยความโกรธชั่วขณะจึงพูดให้หลางอ๋องฟัง ถึงทำให้หลางอ๋องมาพูดถากถางหลิ่วเจียงจวี
แม้ได้ยินว่าฉยงเหนียงตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเหยาซื่อเองก็ไม่ค่อยสบายใจ ทว่านางยิ่งเป็นกังวลว่าหากเรื่องขโมยบทกลอนแพร่ออกไปจะกระทบต่อชื่อเสียงของจวนสกุลหลิ่ว จึงรีบเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ก็แค่โคลงกลอนยามว่างไม่กี่บท ไม่ใช่การสอบหน้าพระที่นั่งในท้องพระโรงเสียหน่อย ไฉนนางใจแคบเยี่ยงนี้ ถึงขั้นต้องฟ้องร้องระบายทุกข์กับคนนอก”
หลิ่วเจียงจวีโกรธจนหน้าผากขึ้นเส้นเอ็นสีเขียว ปากก็ตวาดก้อง “ท่านแม่! หลักคำสอนของปราชญ์เมธีที่ปกติท่านพร่ำกำชับกรอกหูข้าเป็นการผายลมทั้งหมดหรือไรกัน!”
เหยาซื่อเคยเห็นบุตรชายพูดจาเยี่ยงนี้กับตนเสียเมื่อไร นางเดือดดาลจนด่าว่าเสียงดังในทันที สองคนถกเถียงกันเป็นพัลวันอยู่ในเรือนของหลิ่วผิงชวน
หลิ่วผิงชวนยืนอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าฟังมารดากับพี่ชายมีปากเสียงกัน โดยที่ในใจนางแสนจะระรื่นชื่นบาน…นึกไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์ที่รถม้าชนคนบนถนนในวันนั้นยังคงทำให้ฉยงเหนียงเข้าตาหลางอ๋องจนได้ ตอนนี้ถึงได้ถูกใช้อุบายพาตัวเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง คาดว่ายามกลางวันคงจุดเตาไฟทำอาหาร ยามกลางคืนคงคลายสายคาดเอวเปลื้องผ้าผ่อนกระมัง
ดูแล้วฉยงเหนียงยังเทียบไม่ได้กระทั่งนางบำเรอ ไม่มีฐานะแม้สักนิดเดียว หลางอ๋องไม่ใช่คนตระหนี่ เหตุใดจึงปฏิบัติกับฉยงเหนียงเช่นนี้เล่า คงเพราะฉยงเหนียงวางท่ามากเหลือเกิน โรคกุลสตรีตระกูลใหญ่กำเริบอีกแล้วเป็นแน่ จึงทำให้หลางอ๋องมีโทสะ หมายจะกำราบนางให้เข็ดหลาบก็เป็นได้
หลิ่วผิงชวนยิ่งคิดก็ยิ่งเบิกบานใจ ชาติก่อนจวบจนหลางอ๋องถูกกักบริเวณในวัดเนี่ยนฝ่าก็ไม่ได้แต่งชายาเอก อาจเพื่อให้สะดวกแก่การจับตาดูเขา ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่ได้ยกทัพก่อกบฏ ทั้งฮ่องเต้และรัชทายาทต่างก็ทยอยพระราชทานหญิงงามให้เขาไม่น้อย