เนื่องจากเขาไม่มีชายาเอกเรื่อยมา ตามกฎแล้วพวกนางที่เป็นนางบำเรอจึงไม่อาจให้กำเนิดทายาทก่อนได้ บุตรชายคนโตของจวนอ๋องจะได้ไม่เกิดจากนางบำเรอจนเสียการปกครอง ดังนั้นไม่ว่าหญิงสาวเหล่านั้นจะมีรูปโฉมงามเปี่ยมเสน่ห์สักเพียงใด หลังจากปรนนิบัติเจ้านายแล้วล้วนต้องดื่มยาป้องกันการตั้งครรภ์หนึ่งชามทั้งสิ้น
ทว่าหลังจากนางเข้าจวนอ๋อง เนื่องจากพลั้งไปล่วงเกินข้ารับใช้เข้า จึงถูกคนลอบสับเปลี่ยนเป็นยาสิ้นทายาท ทำให้ไม่อาจมีลูกชั่วชีวิต
หลางอ๋องแม้เจ้าสำราญ ทว่าไม่เคยหลงใหลนางบำเรอคนใดเป็นพิเศษ เมื่อมีคนใหม่ก็มักจดจำคนเก่าไม่ได้อีก หลังจากนางเข้าจวนอ๋องเพียงไม่นานก็ไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ชีวิตเหมือนสตรีที่ครองตัวเป็นม่ายไม่มีผิด ยามที่ทานทนความเปลี่ยวเหงาไม่ไหว นางก็มีสัมพันธ์กับองครักษ์อยู่หลายคน ถึงอย่างไรก็ไม่อาจสืบสายเลือดให้จวนอ๋องต้องแปดเปื้อนอยู่แล้ว
ต่อมานางบำเรอที่เข้าจวนมาพร้อมนางล้วนถูกหลางอ๋องตกรางวัลแก่ผู้อื่น หรือไม่ก็แจกจ่ายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เหลือแต่นางที่ยังไม่ถูกส่งออกไป โชคดีที่เหยาซื่อไหว้วานคนมาขอตัวนางออกจากจวนอ๋อง นางถึงได้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ ไม่เช่นนั้นมิต้องลงเอยด้วยการเข้าวัดเนี่ยนฝ่าไปกับเขาจนวันตายหรอกหรือ
เพียงคิดถึงเรื่องในชาติก่อน ร่างของหลิ่วผิงชวนก็สะท้านวูบอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้หลางอ๋องรูปงามเหนือสามัญสักเพียงใดแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นอ๋องที่สิ้นอำนาจไร้อนาคตให้เอ่ยถึง
นึกถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่ตนวางแผนไว้ดิบดี แล้วคิดถึงจุดจบอันน่าสมเพชของฉยงเหนียงในชาตินี้ ต่อให้ในหูมีแต่เสียงด่าทอด้วยโทสะของหลิ่วเจียงจวี ก็ไม่อาจยับยั้งรอยยิ้มที่มุมปากของนางได้
สุดท้ายวาจาอันเด็ดขาดหนักแน่นหนึ่งประโยคของหลิ่วเจียงจวีก็ยุติการโต้เถียง “เงินห้าพันตำลึงนี้จวนสกุลหลิ่วของพวกเราจะเป็นผู้ออก พรุ่งนี้ข้าจะไปรับฉยงเหนียงกลับบ้าน…”
“ไม่ได้!” เสียงตวาดอันน่าเกรงขามพลันดังมาตัดบทเขา
หลิ่วเจียงจวีหันหน้าไปมอง ผู้มาก็คือหลิ่วเมิ่งถังบิดาของเขานั่นเอง
หลิ่วเมิ่งถังเพิ่งกลับมาจากจวนว่าการ ทั้งเขาและบุตรชายจึงยังไม่ได้ถอดเปลี่ยนชุดขุนนาง
หลิ่วเจียงจวีไม่กล้าไร้มารยาทกับบิดา หลังจากรีบคารวะทักทาย เขาเกรงว่าบิดาที่เพิ่งกลับจวนจะไม่รู้ความเป็นไปของฉยงเหนียง จึงเล่าซ้ำอีกรอบก่อนเอ่ยอย่างเร่งร้อน “เงินห้าพันตำลึงนี้แม้เป็นจำนวนที่มากอยู่ ทว่าสกุลหลิ่วของพวกเราก็จ่ายไหว เหตุใดท่านพ่อจึงคัดค้านเล่าขอรับ”
หลิ่วเมิ่งถังนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีหลิ่วผิงชวนปรนนิบัติ จากนั้นเอ่ยด้วยสีเคร่งหน้าขรึม “แม้เจ้าไม่ได้สอบขุนนาง แต่ก็นับว่าเข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนางแล้ว เจ้าฟังพระบัญชาอยู่ข้างกายฝ่าบาท เหตุใดไม่สังเกตพระประสงค์เสียบ้าง”
หลิ่วเจียงจวีฟังจบก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายในวาจาของบิดา
“คราวก่อนด้วยเรื่องของเงินกองทัพ หลางอ๋องล่วงเกินรัชทายาทมิใช่เบา แม้ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งอันใด ทว่าคนเป็นขุนนางบีบคั้นว่าที่ประมุขแผ่นดินให้ต้องประหารบริวารไปหลายคนเช่นนี้ ยังใช่แม่ทัพขุนนางผู้ภักดีอยู่หรือ”
“เขาภักดีหรือคิดคดเกี่ยวอันใดกับฉยงเหนียงเล่าขอรับ” หลิ่วเจียงจวียังคงเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
หลิ่วเมิ่งถังถลึงตานิดๆ “บัดนี้อ๋องเจ้าศักดินาจากพื้นที่ต่างๆ จะเข้าเมืองหลวงมาถวายรายงานตามหน้าที่ หลางอ๋องเข้าเฝ้าเมื่อไรจะมีผลลงเอยที่ดีได้หรือ หากตอนนี้พวกเราสกุลหลิ่วนำเงินไปไถ่อิสรภาพให้นาง ผู้ที่รู้ความจะบอกว่าพวกเรามีเมตตาธรรมช่วยเหลือลูกเลี้ยง แต่ผู้ที่ไม่รู้ความย่อมนึกว่าพวกเราประจบประแจงหลางอ๋อง กระเหี้ยนกระหือรือเอาเงินไปกำนัลเขา! เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงจวนสกุลหลิ่วของพวกเราทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย เจ้าอย่าได้เจ้ากี้เจ้าการเป็นอันขาด หากกล้าลักลอบรวบรวมเงินเอง ระวังข้าจะขับเจ้าออกจากตระกูล!”
สกุลหลิ่วทะเลาะกันวุ่นวายด้วยเรื่องของเงินห้าพันตำลึง โดยที่ฉยงเหนียงเองไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด
หลังจากถูกตรวจสอบอาหารด้วยลิ้นของนักกินอย่างฉู่เสียไปรอบหนึ่ง นางก็รู้สึกได้ว่าฝีมือของตนยังไม่เข้าขั้น วันหน้าเมื่อเปิดร้านจะต้องเป็นที่ตลกขบขันอย่างแน่นอน ในเมื่อจำเป็นต้องทำงานในจวนหลางอ๋อง นางก็สงบใจฝึกฝนฝีมือไปดีกว่า
เพียงแต่ปกติอาหารที่ฉู่เสียชอบกินเป็นเช่นไรนางยังไม่รู้กระจ่างเลย พอถามจากเมี่ยวหลิงสาวใช้ที่เป็นลูกมือในครัวผู้นั้นแล้ว อีกฝ่ายเป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันขันอาสายกอาหารไปแล้วกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวถูกฉู่เซิ่งต่อว่า จึงยิ่งเห็นฉยงเหนียงขัดลูกตา เอาแต่มองจิกด้วยหางตาโดยไม่ไยดีต่อคำถามของนาง