ตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งขับออกมายังถนนใหญ่โอ่งก็ยังไม่มีเวลาใส่ใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาถูกสั่งมาจากวิรุฬอีกทีว่าไม่ควรพูดอะไรเมื่อเข้ามานั่งในรถของตำรวจ เพราะไม่รู้ข้างในจะมีเครื่องดักฟังหรือวิทยุติดตามอะไรอยู่หรือไม่ เขาควรเงียบและคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ควรจะเงียบด้วย เมื่อมีเสียงวิทยุในรถดังขึ้นโอ่งก็ตัดสินใจกระชากสายไฟเครื่องรับวิทยุภายในรถตำรวจออกเสียเลย
เมื่อคิดถึงวิรุฬ โทสะก็พุ่งขึ้นมาอีก เขาไม่น่าเห็นแก่ตัวแล้วทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า การกระทำของวิรุฬทำให้ไอ้ตุ่น ลูกน้องที่หัวหกก้นขวิดด้วยกันมาเกือบสิบปีต้องจบชีวิตลงเหมือนหมาข้างถนน มือที่กำพวงมาลัยรถบีบแน่นจนข้อนิ้วโปนปูด เขาเหลือบตามองกระจกหลังเห็นรถคันหนึ่งติดตามมาอย่างไม่ลดละ เดาไม่ยากเลยว่าคงเป็นรถของตำรวจแน่ ก่อนจะปล้นธนาคารเขาคิดแผนการหนีด้วยรถยนต์มาแล้ว และเขาจะยังใช้แผนเดิมนั่นคือการมุ่งเข้าสู่วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครแล้วค่อยหาทางทิ้งรถไว้ตรงไหนสักแห่งที่พอจะหนีต่อด้วยเท้าได้
สุภาพสตรีที่นั่งข้างเขารัดเข็มขัดนิรภัยโดยที่ไม่ต้องบอก รถยนต์ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ผิดกฎหมายอย่างไม่ต้องสงสัย ความมืดช่วยในการอำพรางรถได้ก็จริงแต่ถ้าเขาเจอด่านสกัดของตำรวจ เขาก็จะไม่รอดแน่ โอ่งมองหาลู่ทางที่จะหลบออกนอกเส้นทางพิเศษมาตลอด เขาพยายามขับหลบระหว่างรถบรรรทุกพ่วงซึ่งขับตามกันมาเพื่อสลัดรถติดตามให้คลาดสายตา จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นชุมชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งปลูกอยู่ริมทางพิเศษ เขาขับผ่านบ้านคนกับร้านอะไหล่ยางรถยนต์มาได้เกือบครึ่งกิโลเมตร ชายหนุ่มจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะทิ้งรถ
“ตรงนี้แหละ”
เขาพูดเบาๆ แล้วหักหัวรถลงไปข้างทางซึ่งเป็นต้นหญ้าสูงท่วมศีรษะคน ดินข้างทางค่อนข้างนุ่มแต่รถก็ยังไม่จมลงไปมากนัก เขาปิดไฟหน้ารถแล้วจอดนิ่งอยู่ในป่าหญ้า รอจนกระทั่งเห็นรถที่ขับตามอยู่ขับผ่านไปแล้วโอ่งจึงรีบออกคำสั่ง
“ลงจากรถ”
สุภาพสตรีที่ตกเป็นตัวประกันจำต้องลงจากรถตามคำสั่ง เธอไม่ได้ดูตื่นกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่กลับดูมุ่งมั่นที่จะหนีเอาตัวรอด โอ่งคว้ากระเป๋าเป้ของมันซึ่งมีเงินบรรจุอยู่จนเต็มมาพาดบ่าไว้ นึกเสียดายเงินอีกถุงที่ติดอยู่กับตัวเจ้าตุ่น หากทุกคนรอดมาได้คงมีโอกาสเสวยสุขกับเงินก้อนนั้นไปอีกนาน แต่เมื่อพลาด…ชีวิตของมันก็มีค่าแค่นั้นเอง
“เดินย้อนกลับไป อาจจะหารถรับจ้างจากอู่ซ่อมรถที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้ได้” โอ่งเดินอ้อมหน้ารถมารับตัวประกันจากอีกฝั่งของประตูรถ หญ้าที่สูงท่วมศีรษะนั้นน่ารำคาญแต่ก็ช่วยอำพรางตัวในความมืดได้มาก “แต่ต้องเดินลุยในป่าแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ ไหวไหม”
“ไหว”
เธอพูดออกมาเป็นคำแรกนับตั้งแต่ที่ตะโกนบอกตำรวจว่าตนตั้งครรภ์ กระเป๋าหนังปลอมที่คล้องไหล่อยู่ดูเกะกะ โอ่งพยายามจะคว้ามันมาถือให้แต่เธอกลับดึงกลับ
“ไม่ต้อง พี่นั่นแหละเอาสัมภาระมาแบ่งไว้กับฉันก็ได้ จะได้ช่วยกัน”
ในเป้มีทั้งเสื้อแจ็กเก็ต ปืน และเงินสด แต่โอ่งก็ไม่คิดให้ภรรยาของมันต้องรับผิดชอบข้าวของเหล่านี้
“ไม่เป็นไร ไปเถอะ”
คนทั้งคู่ออกเดินเท้า พยายามไม่เข้าใกล้ริมถนนมากนัก แต่ก็ต้องไม่เดินห่างออกไปไกลมากเพราะไม่อย่างนั้นคงจะหลงในดงหญ้าจนหาทางออกไม่เจอ โอ่งจูงมือภรรยาแล้วพยายามมองหาแสงไฟข้างหน้าไปด้วย เสียงยวดยานยังคงดังก้องอยู่บนถนน
“ไอ้ตุ่นไม่น่าตาย พี่สงสารมัน”
“เพราะไอ้วิรุฬแท้ๆ เราไม่น่าไว้ใจเลย น่าจะหาทางกำจัดมันไว้ก่อน นี่มันรอดไปได้ไม่รู้จะใส่ไฟเราเรื่องอะไรบ้าง”
“แต่ถ้าไม่มีมัน เราก็คงไม่ได้เงินก้อนโตนะอิ๋ว”
สุภาพสตรีที่ถูกเรียกว่าอิ๋วถอนใจหนัก ดูเหมือนอารมณ์ของเธอยังร้อนอยู่ “มันทำเพื่อตัวเอง มันแค่ใช้เราเป็นเครื่องมือ เราไม่น่าเชื่อเลยเรื่องที่มันห้ามไม่ให้เราบอกความจริงกับตุ่น”
โอ่งรู้สึกผิดต่อตุ่นกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเหตุผลที่วิรุฬให้ไว้ในตอนนั้นมันฟังดูมีน้ำหนัก เขาจึงยอมรับปากที่จะไม่บอกลูกน้องว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นแผนการของผู้จัดการสาขาที่พวกเขาตั้งใจปล้นทั้งสิ้น
การเดินย่ำไปในพื้นที่ชื้นแฉะและค่อนข้างมืดทำให้คนทั้งคู่ทุลักทุเล ยิ่งกับฝ่ายหญิงด้วยแล้วการใส่รองเท้ามีส้นกลายเป็นอุปสรรคที่สำคัญ อิ๋วเริ่มหายใจแรงจนคนข้างหน้าได้ยิน
“เหนื่อยเหรอ น่าจะอีกไม่ไกลแล้วนะ”
“มะ…ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ”
แล้วจู่ๆ เสียงหวีดหวอของรถตำรวจก็ดังขึ้น คนร้ายปล้นธนาคารพร้อมกับผู้สมรู้ร่วมคิดตกใจสุดขีด โอ่งมั่นใจว่าพวกเขากำลังจะใกล้ถึงชุมชนแล้ว แต่เสียงหวอ เสียงเครื่องยนต์ และเสียงแว่วๆ ของผู้คนทำให้เขาเริ่มวิตกว่าอาจจะไปไม่ทันเวลา
“มันคงหารถเจอแล้ว”
“ทำยังไงดีพี่”
“ต้องเข้าดงหญ้าให้ลึกกว่านี้ ไป…”
แทนที่จะเดินเลียบขนานไปกับถนนซึ่งพอมองเห็นจากแสงไฟรำไร โอ่งต้องตัดสินใจที่จะเดินลึกเข้าไปในพงหญ้าเพื่ออำพรางตัวให้มากขึ้น สองหนุ่มสาวจึงเปลี่ยนเส้นทางการหนีใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าตำรวจจะไม่ตามพวกเขาเจอ