LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 4-บทที่ 6
การประเมินสถานการณ์ตรงหน้าจำเป็นต้องเกิดขึ้นทุกวินาทีและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หัสยุทธกับโอบเกียรติคิดไปในทางเดียวกันว่าหากกลุ่มที่มีคนเจ็บสามคนขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว คนร้ายต้องทิ้งตัวประกันคนหนึ่งไว้แน่ เนื่องจากรถกระบะของตำรวจเป็นแบบตอนเดียว จุผู้โดยสารได้สองคน ในเมื่อคนร้ายมีสองคน มันคงไม่คิดเอาตัวประกันไว้หลังรถแน่ แต่ถ้าหากจะเอาตัวประกันไปด้วย ก็น่าจะสามารถอัดคนเพิ่มเข้าไปได้แค่คนเดียวซึ่งควรจะเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ไม่ใช่ชายร่างอ้วน ตอนนี้ตำรวจจึงต้องพยายามคิดให้ทันความคิดของโจรว่ามันจะทำอย่างไรต่อไป
ตุ่นกระซิบข้างหูให้วิรุฬเดินช้าๆ เพื่อที่เขาจะได้รอโอ่งให้เดินขึ้นมาประกบ การก้าวขึ้นรถกระบะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ โอ่งดึงตัวประกันหญิงให้เดินขึ้นมาเกือบจะเป็นระนาบเดียวกันกับวิรุฬ ขณะทุกคนกำลังเดินตรงมายังรถกระบะ หัสยุทธก็ยกมือซ้ายขึ้นเป็นสัญญาณให้บุกเข้าไปทางด้านซ้ายเพื่อโอบหลังคนร้ายก่อน ทิศนั้นโอบเกียรติคุมสถานการณ์อยู่ คนของโอบเกียรติได้รับคำสั่งต่อกันเป็นทอดๆ
การเคลื่อนไหวของหน่วยจู่โจมนายหนึ่งทำให้โอ่งรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย หางตาของเขาจับความเคลื่อนไหวนั้นได้ หัวหน้าคนร้ายหยุดเดินแล้วหันหลังชิดกับแผ่นหลังของลูกน้อง เขาประกาศก้อง
“อย่าขยับนะมึง ให้กูไปก่อน ไม่งั้นได้ตายหมดนี่แหละ กูวางระเบิดไว้ในธนาคารแล้วด้วย ถ้ากูไม่รอด พวกมันก็ตายห่าหมด…เลือกเอา”
หัสยุทธได้ยินคำประกาศนั้นชัดเจนทุกคำ คนเจ็บดูท่าทางไม่ดีเอาเสียเลย แม่บ้านก็เริ่มร้องไห้ ส่วน รปภ. ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมสติได้เช่นกัน ชายสูงวัยอาจจะไม่ได้ถูกฝึกมาให้เอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้ หัสยุทธจำเป็นต้องปรากฏตัวที่ด้านหน้ารถตู้อีกครั้ง เขาตะโกนเสียงดังเพื่อให้ผู้ร้ายเห็นว่ามันยังอยู่ในห้วงเวลาของการเจรจาอยู่ และยังไม่มีใครผิดคำพูดตามที่ได้ให้สัญญาไว้
“ใจเย็นๆ นายไปได้ เอารถไปเลย ฉันสตาร์ตรถไว้แล้ว แต่ระเบิดไม่ได้อยู่ในสัญญา นายต้องให้ตำรวจเข้าไปช่วยคนในธนาคาร”
“ไม่ๆๆๆ จะไม่มีการเคลื่อนไหวตอนนี้”
โอ่งตะโกนเสียงดัง แขนข้างที่โอบสุภาพสตรีไว้เริ่มกระชับแน่นขึ้น ส่วนตุ่นก็ชักไม่มั่นใจเพราะอาจจะมีใครสักคนกำลังเล็งปืนมาที่เขา
“เฮ้ นายต้องเข้าใจว่าตำรวจจะไม่ยอมเสียเปรียบไปมากกว่านี้” หัสยุทธเตือนสติ “การเจรจาจบลงไปแล้ว เราให้ในสิ่งที่นายขอ และต่อจากนี้นายจะไม่ได้อะไรเพิ่มอีก ถ้าจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนซะตั้งแต่ตอนนี้ ปล่อยตัวประกันให้เป็นอิสระแล้วมอบตัวซะ”
โอ่งเพิ่งสำนึกได้ว่าไม่น่าพูดเรื่องระเบิดขึ้นมาเลย ในทีแรกเขาต้องการให้ตำรวจเห็นว่าตนเป็นต่อและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับดักที่วางไว้กำลังย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง ขณะนี้กลุ่มคนร้ายและตัวประกันยืนกระจุกตัวอยู่กลางลานกว้างหน้าธนาคาร ซึ่งอีกไม่ถึงสิบก้าวก็จะถึงรถกระบะอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนทุกคนไม่กล้าขยับ
“กูจะขึ้นรถ!”
คนร้ายเลือกทางเดินของตัวเองในที่สุด หัสยุทธไม่ขัด เขาผายมือไปยังรถกระบะ
“งั้นเชิญ แต่ฉันจะเดินเข้าไปรับคนเจ็บเอง โอเคไหม”
โอ่งสบตากับหัสยุทธภายใต้หมวกไหมพรม เขาพยายามหาความจริงใจ ความมั่นคง และความซื่อสัตย์จากดวงตาคู่นั้น
ในหัวของวิรุฬมีแต่ความระแวงและเป็นกังวล เขาเริ่มไม่ไว้ใจทั้งสถานการณ์และคนร่วมแผนการของเขา ตั้งแต่เห็นพาหนะที่จะหนีออกจากสถานที่เกิดเหตุเขาก็รู้แล้วว่าโอ่งคงไม่ยอมพาเขาไปด้วยแน่ และการติดอยู่ที่นี่ร่วมกับตัวประกันคนอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เขาต้องการความมั่นใจว่าตนเองจะไม่เป็นที่สงสัยของใครต่อใคร โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา เมื่อคิดได้ดังนั้นวิรุฬจึงเริ่มมองหาโอกาสที่จะทำให้สถานการณ์ตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เขาเห็นพนักงานหญิงที่ถูกยิงเดินอย่างกะปลกกะเปลี้ยและใกล้จะเดินไปถึงรถกระบะ นักเจรจาต่อรองกำลังเดินเข้ามาหากลุ่มคนซึ่งน่าจะถูกส่งต่อไปยังรถฉุกเฉิน คราวนี้ก็จะเหลือเขา ตัวประกันอีกหนึ่งกับโจรทั้งสองเท่านั้น เขารู้ว่าพวกมันคงพยายามกันเขาออกแล้วก็หนีไปด้วยกัน เขาไม่อยากถูกทิ้งอย่างไร้ค่าและถูกประณามว่าเป็นผู้จัดการสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหา เขาจึงจำเป็นต้องหาโอกาสให้ตัวเอง
จังหวะที่หัสยุทธกำลังจะมาถึงตัวคนเจ็บและอีกไม่กี่ก้าวที่โอ่งกับตุ่นจะไปถึงประตูรถกระบะ จู่ๆ วิรุฬก็โผเข้าหากลุ่มคนเจ็บคล้ายกับจะปกป้องพร้อมกับตะโกนลั่น
“ระวัง!”
“เฮ้ย!”
…เปรี้ยง!…
การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่มีปี่มีขลุ่ยของวิรุฬเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมทำให้ตุ่นตกใจสุดขีด มันไม่สามารถควบคุมนิ้วมือที่พักไว้ตรงไกปืนได้ จึงทำปืนลั่นอีกครั้ง และคราวนี้ลูกกระสุนไปฝังอยู่ที่หัวไหล่ของวิรุฬ ชายร่างอ้วนทรุดตัวลงกับพื้นแล้วยังไม่วายฉุดกลุ่มคนเจ็บให้ล้มกลิ้งลงพร้อมกันด้วย หัสยุทธพุ่งเข้าหาพวกเขาแล้วพยายามใช้แขนและร่างกายกดศีรษะของทุกคนให้ก้มลงกับพื้น เขารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
…เปรี้ยงๆๆ…
“กรี๊ดดดดดด…”
“ไอ้ตุ่น!…”
“อย่ายิงๆๆ ฉันท้องอยู่ มีเด็กอยู่ในท้องของฉัน!”
เสียงปืนสามนัดดังขึ้นมาจากฝ่ายของตำรวจ โอ่งพยายามยึดตัวประกันคนสุดท้ายไว้พร้อมกับหลบกระสุนไปด้วย เสียงของผู้หญิงคนนั้นทำให้หัสยุทธตกใจมาก เขาตะโกนลั่น
“หยุดยิง หยุด!”
ในเสี้ยววินาทีนั้นโอ่งหันมามองร่างของลูกน้องซึ่งนอนจมกองเลือดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเรียกสติของตนกลับมา เขากระชากประตูรถกระบะให้เปิดออกแล้วดันร่างของสุภาพสตรีท่านนั้นให้เข้าไปข้างใน ส่วนตัวเองก็รีบมุดเข้าไปนั่งประจำที่ของคนขับ
หัสยุทธยังคงนอนอยู่บนพื้นแต่เขาก็ตะโกนแข่งกับเสียงของเครื่องยนต์ที่เพิ่งถูกกระชากออกไป
“ตาม ไอ้โอบตาม! ตัวประกันท้องอยู่…ระวังด้วย”
โอบเกียรติไม่ได้ตามรถกระบะไปด้วยตัวเองแต่เป็นทีมของเขาซึ่งประจำอยู่ในรถก่อนแล้ว หัสยุทธรีบลุกขึ้นยืน อาสดาลงจากรถฉุกเฉินมารับตัวคนเจ็บเพื่อให้ทุกคนไปถึงมือแพทย์อย่างเร็วที่สุด ส่วนวิรุฬร้องครวญครางเสียงดังลั่นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าหน้าที่ ในขณะที่วุฒิภาศก็รีบวิ่งตรงมายังหัวหน้าของเขา
“แล้วเรื่องระเบิดล่ะครับ”
“อาจแค่ขู่ คนของไอ้โอบเข้าไปแล้วนี่ คุณรีบไปช่วยลำเลียงคนออกมาจากธนาคารก่อน”
“ครับ”
หลังจากกระจายงานแล้วหัสยุทธก็หันไปสนใจร่างของเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นซีเมนต์ เขาเดินเข้าไปหาร่างนั้นช้าๆ เจ้าหน้าที่เริ่มใช้เทปสีเหลืองกั้นบริเวณที่มีศพนอนอยู่เพื่อรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาบันทึกภาพและเก็บหลักฐานซึ่งเป็นวัตถุปืนและถุงเงินไว้
หัสยุทธนั่งยองข้างร่างของตุ่น ถุงผ้าซึ่งใส่เงินไว้ยังคงผูกติดกับเอว นายตำรวจเห็นเลือดแดงฉานไหลนองพื้นก็พอเข้าใจได้ว่ากระสุนคงเข้าไปที่ร่างตุ่นทั้งสามนัด มันเป็นกฎการตอบโต้ หากคนร้ายเริ่มยิง เจ้าหน้าที่ก็สามารถจะโต้ตอบด้วยอาวุธปืนได้ แต่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย หากการเจรจาสำเร็จก็อาจจะไม่มีคนตายเกิดขึ้น
อาวุธปืนที่ตกอยู่ไม่ไกลนักเป็นอย่างที่วุฒิภาศสงสัย มันคงถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยฝีมือของคนใช้งาน เขาเห็นอักษรตัวที (T) ถูกสลักอยู่ตรงลำกล้องด้วย
“หัวหน้าครับ หน่วยจู่โจมพาตัวประกันออกมาได้ทั้งหมดแล้วครับ ตอนนี้กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุทั้งอาคารอยู่ว่ามีวัตถุระเบิดอย่างที่คนร้ายกล่าวอ้างไว้หรือไม่” วุฒิภาศกลับมารายงานความคืบหน้าให้หัสยุทธทราบ
หัสยุทธพยักหน้ารับ “คุณไปประกบฝ่ายสอบสวนเถอะ ผมจะไปหารุสก์”
“ครับ”