บทที่ 9
เมื่อต้องนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องทำงานแคบๆ บุษบงกชก็รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของเขาได้ พจนีย์ชงกาแฟให้เขาแก้วใหญ่ก่อนที่เธอจะกลับ พร้อมกับวางรอยนิ้วมือของคนร้ายที่ถูกพิมพ์ไว้ให้เขาด้วย โดยหัสยุทธอ้างว่ามันจะเป็นหลักฐานให้ NIC สามารถตามต่อได้ว่าคนร้ายทั้งสองนั้นชื่ออะไร บุษบงกชพยายามรักษาระยะห่างจากเขา เธอไม่คิดที่จะไปนั่งโซฟาตัวเดียวกัน คุณหมอเลือกที่จะนั่งที่เดิมแล้วตะโกนเล็กน้อยคุยกับเขา
“…มีรอยสักเหมือนกัน ตำแหน่งเดียวกัน แต่คนหนึ่งมีรอยสักที่ชัดเจนกว่า”
หัสยุทธนั่งกอดอก เขาพยักหน้ารับ สิ่งนั้นจะช่วยยืนยันว่าคนร้ายสองคนเป็นสมาชิกของแก๊งใดแก๊งหนึ่ง นอกจากนั้นความสัมพันธ์ของคนร้ายทั้งคู่อาจพุ่งประเด็นไปที่ความเป็นลูกพี่ลูกน้องด้วย คนที่มีรอยสักชัดกว่าน่าจะเป็นคนที่เข้าสู่แก๊งตามหลังลูกพี่ของเขาซึ่งมีรอยสักที่จางกว่า
“คนแรกเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนคนที่สองสาเหตุการเสียชีวิตเป็นเพราะสูญเสียเลือดในปริมาณมากทำให้การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว ตำแหน่งที่ถูกยิงเป็นจุดสำคัญ คนของคุณยิงเขาในระยะใกล้” บุษบงกชพูดจบแล้วค้อนให้
“คนของไอ้โอบ”
“นั่นแหละ…ตำรวจ พวกเขารู้วิธีจัดการกับปัญหา”
“นี่เราพูดถึงวิทยาศาสตร์หรือจริยธรรมกันอยู่”
“วิทยาศาสตร์ก็ยังต้องมีจริยธรรม” บุษบงกชลอยหน้าลอยตาตอบ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่หัสยุทธคิดว่าเธอคล้ายกับเจ้าเดือนเสี้ยว “พวกเขาเป็นคนหนุ่มสองคนที่มีสุขภาพร่างกายค่อนข้างแย่ ฉันคิดว่าเขามีภาวะโภชนาการไม่ค่อยดีนัก”
“น่าจะเป็นเด็กไร้บ้าน เพราะจนป่านนี้ก็ไม่มีใครมาแสดงตนว่าเป็นญาติหรือรู้จักกับพวกเขา แม้ว่าสื่อจะเปิดเผยหน้าตาของพวกเขาไปบ้างแล้ว”
“เหตุผลนี้ใช่ไหมที่ทำให้เขาต้องเข้าแก๊ง”
“อืม ปัญหาสังคมน่ะ” หัสยุทธยิ้มมุมปากนิดแล้วหัวเราะฮึ “วันนี้เราคุยกันหลายเรื่องแล้วนะ”
“เอาเรื่องโรแมนติกอีกสักเรื่องไหม”
เธอยิ้มยั่วจนคนฟังหัวใจกระตุกนิด แต่ยังพอดึงความรู้สึกกลับมาได้
“อะไร”
“คนร้ายที่ถูกส่งมาทีหลังมีรอยลิปสติกบนริมฝีปาก”
“ลิปสติก? ผู้ชายเนี่ยนะ”
“อือฮึ มันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดที่ว่าจะมองเห็นได้ง่ายหรอก แต่ฉันเห็นก็แล้วกัน ก่อนเขาจะถูกจับหรือก่อนเขาจะเสียชีวิตแล้วถูกส่งมาให้ฉันชันสูตรเนี่ย เขาได้จูบอย่างดูดดื่มกับใครบางคน”
หัสยุทธยกมือขึ้นมาประสานกัน ข้อศอกท้าวลงไปที่หัวเข่า เขากำลังใช้ความคิด แล้วในนาทีถัดมาเขาก็เปิดซองเอกสารที่ถือมาด้วย นายตำรวจดึงรูปถ่ายที่ได้จากโรงพยาบาลออกมาแล้วเดินไปหาบุษบงกช เขายื่นภาพนั้นให้เธอ
“สีแบบนี้ไหม”
คุณหมอหยิบภาพนั้นมาดูใกล้ๆ มันเป็นภาพของโสภาซึ่งถูกถ่ายไว้จากห้องฉุกเฉิน “ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ใกล้เคียง สีออกแดง ไม่ใช่ชมพูหรือบานเย็น”
“ผมกำลังคิดว่าคนร้ายกับตัวประกันมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง”
“บางอย่างที่ลึกซึ้งมากด้วย ฉันกำลังพูดถึงการจูบกันอย่างดูดดื่ม ใช้ลิ้น บดริมฝีปากบน เม้มริมฝีปากล่าง จนลิปสติกของเธอติดไปถึงฟันโน่นเลย”
หัสยุทธหัวเราะเบาๆ นึกในใจว่าผู้หญิงอะไรเล่าเรื่องได้ห่ามจริงๆ “อาจจะเป็นการบอกลา สิ่งที่คุณพบกำลังช่วยตำรวจย้ำว่าเราต้องตามหาคนร้ายอีกคน”
“นี่แสดงว่าที่ผ่านมาคุณโดนหลอกเหรอ ว้าว สารวัตรมือดีของหน่วย NIC ก็ยังถูกหลอกได้เหมือนกันนะ”
หัสยุทธหยุดยิ้ม “แค่คิดไม่ถึงเท่านั้นเอง แต่เรายังทำงานต่อได้ด้วยลายนิ้วมือที่พจให้ผมมา ถ้าคนร้ายสองคนแรกเป็นสมาชิกแก๊ง ผู้หญิงอีกคนก็น่าจะวนเวียนอยู่ไม่ไกลกัน น่าเศร้าที่ต้องตามหาคนท้อง”
“ผู้หญิงคนนี้ท้องเหรอ”
“ใช่”
บุษบงกชมองดูรูปถ่ายนั้นอีกครั้ง ในแววตาของคนที่มองกลับมาดูเศร้าสร้อย “ทำไมคิดเป็นโจรตอนกำลังตั้งท้องนะ ไม่กลัวถูกจับแล้วต้องไปคลอดลูกในคุกรึไง”
“แต่ถ้ารอดก็อาจจะมีเงินไปตั้งตัวได้สบาย เขาคงคิดแบบนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นพวกเดียวกับคนร้าย”
แล้วจู่ๆ บุษบงกชก็ลุกขึ้นยืน เธอเก็บข้าวของลงกระเป๋าด้วยสีหน้าเหมือนกำลังโกรธใครบางคนอยู่
“คุณจะกลับแล้วเหรอ”
“อื้ม”
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจ คุณกลับไปได้แล้ว ฉันจะปิดห้อง”
“ไม่สนใจไปกินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ ผมเลี้ยงได้นะ”
“ไม่ ฉันจะกลับไปกินที่บ้าน มีคนรอฉันอยู่”
“อ้อ” หัสยุทธหยิบรูปถ่ายของอิ๋วกลับคืน “งั้นวันนี้ก็ขอบคุณมาก”
บุษบงกชหันมาสบตากับเขา “พรุ่งนี้ฉันจะส่งรายงานฉบับเต็มให้”
หัสยุทธพยักหน้ารับแล้วเดินมาหยิบซองเอกสารบนโซฟากลับไปด้วย เขาเดินออกจากห้องด้วยสีหน้างงงวยที่จู่ๆ บุษบงกชก็ทำท่าเหมือนโกรธเขาซะอย่างนั้น
หญิงสาวปิดไฟในห้องทำงานทีละดวงจนครบ เธอล็อกประตูห้องแล้วเดินไปที่ลิฟต์ช้าๆ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อยังเห็นหัสยุทธยืนรออยู่หน้าลิฟต์โดยที่ยังไม่ไปไหน บุษบงกชไม่พูดอะไรกับเขาอีก รอจนลิฟต์มาจอดเขาและเธอก็เข้าไปด้านใน กระจกสะท้อนภาพชายหญิงสองคนซึ่งยืนอยู่คนละมุม สีหน้าของทั้งคู่เรียบเฉยคล้ายกับไม่รู้จักกันมาก่อน ลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมาทีละชั้น เมื่อใกล้ถึงชั้นล่างเต็มทีหัสยุทธก็ทำลายความเงียบลง
“ผมจะไม่ให้ใครทำรุนแรงกับเธอ ลูกของเธอจะปลอดภัยด้วย”
บุษบงกชจ้องตาเขาในเงากระจกแล้วพูดเบาๆ ก่อนเดินออกจากลิฟต์ไป “ขอบคุณค่ะ”