“ใช่ แล้วจากรายงานการสอบปากคำนายคิดว่ายังไงอาส”
“ทีมสารวัตรโอบตัดคนที่ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องออกได้หลายคนครับ และคนที่เราสงสัยก็ยังติดอยู่ในกลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดออก”
“เยี่ยม เหลือก็แต่หาหลักฐาน เพราะถ้าจะให้สารภาพคงไม่ใช่เรื่องง่าย หากมองจากสิ่งที่เรามี ผู้จัดการสาขาเซฟตัวเองออกจากผู้ต้องสงสัยได้อย่างแนบเนียบ หากเดินไปถามพนักงานหรือลูกค้าตอนนี้พวกเขาก็ยังคิดว่าวิรุฬเป็นฮีโร่อยู่ดี”
“แต่ช็อตที่เขาพุ่งตัวเข้าหาพนักงานที่บาดเจ็บเป็นความเคลื่อนไหวก่อนที่ปืนของคนร้ายจะลั่นไม่ใช่เหรอครับ เราน่าจะเอาเรื่องนี้อ้างได้”
“อืม ผมก็เคยคิดแบบนั้น แต่มันก็ยังไม่ชัด หากเขาอ้างว่าคนร้ายกระซิบบอกในทำนองข่มขู่กับเขาก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปกำบังลูกน้องไว้ อย่างนั้นเราก็จะหาอะไรมาโต้กลับไม่ได้ ภาพคนดีนี่มันลบยากจริงๆ เราต้องหาความสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้ให้เจอ”
“เจ้านายครับ”
เสียงเรียกของปารุสก์ทำให้ทุกคนหันไปมองเขา ดูเหมือนรูปถ่ายหน้าตรงจากโรงพยาบาลจะทำให้โปรแกรมสามารถแมตช์ภาพจากฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยได้
“มีอะไรรุสก์”
“แจ็กพ็อต…นางสาววิไล ผลพยัคฆ์ เกิดวันที่ 21 ตุลาคม 2535 เลือดกรุ๊ปโอ ที่อยู่เป็น เอ๋…สถานสงเคราะห์เหรอ”
ในสมองของหัสยุทธกำลังเรียบเรียงเรื่องราว เขาเห็นชื่อสถานสงเคราะห์นั้นแล้ว “บอกทีมไอ้โอบให้ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนี้จากสถานสงเคราะห์ เอารูปถ่ายที่ได้จากโรงพยาบาลไปด้วย”
“ครับ เดี๋ยวสักครู่พี่โอบกับวิญญูจะตามมาครับ” วุฒิภาศรายงาน “ผลพยัคฆ์ นามสกุลเหมือนกัน…พี่น้องเหรอ”
“เฮ้ย!!!” ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน
“ยังๆๆ ยังสรุปไม่ได้ อาจจะเป็นเด็กที่ถูกขอไปเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์พร้อมกัน ดึงใบเกิดของวิไลมาดูซิ”
ปารุสก์รีบรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ด หัวใจของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น มันเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลนอกจากการได้ทำงานกับคอมพิวเตอร์ งานสืบสวนเป็นงานที่ท้าทายความสามารถของเขามากที่สุดในเวลานี้
“มาแล้ว ชื่อพ่อแม่คนเดียวกันครับ!”
“แล้วลูกในท้องของเธอเป็นลูกใคร” หัสยุทธถามขึ้นมาลอยๆ แต่ไม่มีใครตอบได้
ประตูห้องทำงานของ NIC ถูกเปิดออกอีกครั้ง ชายร่างหนาสองคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าขึงขัง ดูเหมือนงานของพวกเขาก็เริ่มงวดขึ้นทุกที โอบเกียรติไม่พูดพล่ามเขารีบเข้าประเด็นทันที
“ธนาคารรอการสรุปอยู่นะไอ้หัส”
“เออ มันยังสรุปไม่ได้นี่หว่า วันนี้แกต้องไปสถานสงเคราะห์”
“เรื่องอะไรวะ”
“ก็เรื่องนี้แหละ”
หัสยุทธต้องสรุปสิ่งที่ได้รู้ใหม่ให้โอบเกียรติกับวิญญูฟัง ทุกคนนั่งล้อมวงที่โต๊ะทำงานกึ่งกลางห้อง หัสยุทธใช้ปากกาเคมีเขียนแผนผังความสัมพันธ์ของคนร้ายกับอดีตของพวกเขาบนโต๊ะตัวนั้นให้โอบเกียรติเห็น
“ตกลงมันเป็นเรื่องสมคบคิดกันเหรอวะ”
“ปฏิเสธยากว่าไม่รู้จักกัน ในเมื่อคนร้ายสองคนมีนามสกุลเดียวกัน ส่วนอีกคนอยู่ในฐานะต่ำกว่า อาจเป็นแค่ลูกไล่”
โอบเกียรติถอนใจ “โอเค อย่างเรื่องนี้พวกนายมีหลักฐาน แต่เรื่องคนของธนาคารที่มีส่วนในการปล้นล่ะ จะให้เหตุผลว่ายังไง”
“นายต้องขอความร่วมมือไปที่ธนาคารเพื่อตรวจสอบเงินที่ไหลเข้าออก ฉันคิดว่าเงินจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ”
“คงต้องใช้เวลานานแน่” โอบเกียรติรำพึง “อีกเรื่อง…ดูเหมือนเงินที่ได้จากกระเป๋าของคนร้ายทั้งสองคน มีบางส่วนที่หายไป แต่ยังไม่รู้ว่าเท่าไร พนักงานธนาคารคนหนึ่งบอกว่าเงินถูกยัดใส่ถุงจนเต็ม แต่ตอนที่ตำรวจเก็บของกลางกลับมาจากทุ่งหญ้า มันเหลือไม่เต็มกระเป๋าแล้ว”
“คนร้ายแบ่งเงินให้น้องสาวของมัน” หัสยุทธคิด
“เป็นไปได้ งั้นก็แสดงว่าเธอมีเงินจำนวนมากพอที่จะหลบหนี”
“ใช่ ถ้าเราตั้งสมมติฐานว่าคนร้ายทั้งสามรู้จักกัน แล้วเข้ามาในธนาคารเพื่อปล้นพร้อมกับคิดหาช่องทางหลบหนีไว้เรียบร้อยแต่มันไม่สำเร็จ ความพยายามหลังจากนั้นจึงทำให้เรื่องวุ่นวายอย่างนี้”
“แล้วถ้าการปล้นสำเร็จล่ะ”
“เงินจะหายไปมากกว่านี้น่ะสิ” หัสยุทธตั้งใจพูดประชด แต่เขาก็สะดุดกับคำพูดของตัวเองจนได้ “หรือว่าความจริงเงินมันหายไปอยู่แล้ว แต่การปล้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้แหละที่ทำให้เงินหายไป”
ความคิดแตกกิ่งก้าน ความพยายามในการสืบหาความจริงยังไม่หยุดยั้ง ดูเหมือนเรื่องนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ต้องค้นหาก่อนที่จะสรุปได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่
“ถ้านายจะจ่อปืนไปที่นายวิรุฬ นายก็ต้องมีเหตุผลพอที่จะตอบธนาคาร ไม่อย่างนั้นเสียหมากันหมด”
“ได้ ฉันจะไปคุยกับคนของธนาคารเอง ส่วนนาย…ไปสถานสงเคราะห์ ฉันอยากรู้ประวัติของพี่น้องสองคนนี้ แล้วอีกงานที่ใหญ่กว่าก็คือการตามหาตัววิไลให้เจอ เธอมีของกลางอยู่กับตัว เงินของธนาคารจะสามารถทำให้เราปรักปรำเธอได้ว่าเธอสมรู้ร่วมคิดกับการปล้นในครั้งนี้”
“โอเค ฉันจัดการเรื่องนี้เอง”
(ติดตามต่อวันที่ 30 ก.ค. 62)