LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 7-บทที่ 9
“ผมนำของกลางที่ได้จากคนร้ายสองคนมาเทียบกับแฟ้มอาวุธที่เรามี ปรากฏว่ามีปืนที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับเคยใช้ก่ออาชญากรรมมาก่อนครับ”
“พวกแก๊งเหรอ”
“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ” ภาพจากแฟ้มถูกโหลดไว้ในคอมพิวเตอร์แล้วและขณะนี้ปารุสก์ก็กำลังเรียกขึ้นมาให้หัสยุทธเห็นไปพร้อมๆ กัน “ปืนประดิษฐ์แบบลำกล้องยาว มีการสลักอักษรภาษาอังกฤษตัวเดียวไว้ที่กระบอกปืนด้วย ซึ่งเราเคยจับคนร้ายที่ใช้อาวุธชนิดนี้ได้ในคดีลักทรัพย์ คนร้ายมีประวัติลักเล็กขโมยน้อยหลายคดีและสารภาพว่าได้เรียนรู้การทำอาวุธปืนมาจากการเรียนวิชาช่าง โดยเอามาดัดแปลงแล้วส่งความรู้ต่อไปเป็นรุ่นๆ”
“กลายเป็นพวกอันธพาลไปเลยสินะ”
“ครับ ผมคิดว่าเราพอจะตามเรื่องอาวุธปืนต่อได้ แล้วจะทำให้ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร”
“รุสก์ ในแฟ้มของนายไม่มีคนที่หน้าเหมือนคนตายเลยเหรอ”
“ไม่มีครับ ผมพยายามใช้ทั้งโปรแกรมเทียบใบหน้าและก็พิจารณาด้วยตัวเองแล้ว แต่ไม่มีใครใกล้เคียงเลยครับ”
“ไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อนก็ไม่น่ากล้าปล้นธนาคาร… แล้วคนที่สองล่ะ”
“ยังอยู่ในห้อง ICU ครับ” อาสดาตอบ
“เด็กไอ้โอบนี่ท่าทางจะเล่นกันหนักมือเกินไป”
อาสดารีบแก้ตัวแทน “ได้ยินมาว่าสถานที่ที่มันหลบหนีอันตรายมากสำหรับเจ้าหน้าที่ คงตกลงกันไว้แล้วว่าหากมีการต่อสู้ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวครับ”
หัสยุทธถอนใจ เขามีปัญหากับโอบเกียรติเพราะเรื่องเหล่านี้มาตลอด แม้ผู้บังคับบัญชาจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า NIC เป็นเหมือนสมอง ส่วนหน่วยจู่โจมของโอบเกียรตินั้นเป็นแขนขาก็เถอะ แต่เขาก็เห็นบ่อยๆ ว่าแขนขามักจะออกท่าทางเกินกว่าที่สมองต้องการเสมอ
“ตายหนึ่ง เจ็บหนักอีกหนึ่ง ไม่มีทางที่เราจะสอบปากคำคนร้ายได้เลย ต้องเบนเข็นไปทางตัวประกันกับสภาพแวดล้อมแทน”
“หัวหน้าครับ มีอีกเรื่องที่วิญญูบอกผมมา…เรื่องรถยนต์ แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม”
“ว่ามา”
“วิญญูบอกว่าหลังจากมีการเคลียร์คนและรถให้ออกห่างจากอาคารเพื่อเช็กความปลอดภัย มีรถกระบะเหลืออยู่คันหนึ่งซึ่งไม่สามารถระบุเจ้าของได้และไม่มีใครมาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของด้วยครับ”
“รถอยู่ที่ไหน”
“จอดอยู่หลังตลาดที่อยู่หลังอาคารพาณิชย์อีกที”
หัสยุทธนิ่ง วุฒิภาศจึงสรุปแทน
“อาจจะเป็นคำตอบว่าคนร้ายมาที่ธนาคารได้ยังไง”
“อืม อาส…นายไปตามเรื่องนี้ให้หน่อย หาเจ้าของรถให้เจอ”
“ได้ครับ”
“เอาล่ะ มาลำดับเหตุการณ์ต่อ หลังจากกล้องวงจรปิดถูกยิงหมดแล้วเราจะรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดต่อจากนั้นได้ยังไง”
มันเป็นประโยคที่ตั้งใจถามเพื่อให้ทีมเกิดกระบวนการทางความคิด วุฒิภาศอาสาตอบคำถามนั้นเป็นคนแรก
“สอบปากคำตัวประกันทั้งหมดครับ”
“แล้วได้อะไรมาบ้าง”
“เราแบ่งตัวประกันออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เป็นพนักงานของธนาคารกับกลุ่มลูกค้า ณ เวลาเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารทั้งหมดห้าคน รปภ. และแม่บ้านอีกสอง รวมเป็นเจ็ดคนครับ ส่วนลูกค้าก็มีห้าคน”
หัสยุทธมองตัวเลขที่เขียนไว้บนโต๊ะตามไปด้วย “รวมเป็นสิบสอง คนร้ายเข้ามาสองคน ใช้อาวุธปืนที่ประดิษฐ์เองข่มขู่ให้ทุกคนอยู่ในความสงบโดยไม่ลังเลที่จะยิง แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทำให้คนบาดเจ็บ…”
“ถ้าไม่นับการยิงทะลุกระจกออกมาสกัดตำรวจ กระสุนปืนถูกยิงในธนาคารทั้งหมดสี่นัดครับ”
“อีกนัด…ที่ไหน”
“พนักงานคนหนึ่งของธนาคารให้ปากคำว่า กระสุนปืนลั่นในตอนที่ผู้จัดการสาขาเข้ามาปกป้องพวกตน”
“ผู้จัดการคนนี้เป็นฮีโร่จริงๆ”
“ใช่ครับ แล้วพวกเขายังบอกด้วยว่าผู้จัดการถูกทำร้ายร่างกายด้วยเพราะเข้ามาช่วยเหลือพวกตน ท่าทางเขาเป็นคนดีมาก ลูกน้องทุกคนก็เป็นห่วงเขา ผมได้ยินสารวัตรโอบบอกว่าธนาคารคงมีรางวัลให้เขาในเรื่องนี้”
หัสยุทธขมวดคิ้ว “แล้วเขาไม่กังวลเรื่องเงินที่หายไปเลยเหรอ”
“ก็คงกังวล แต่ผู้จัดการเขตยังตั้งตัวไม่ติด รู้แค่ว่าเหตุการณ์สงบลงด้วยดี โจรถูกจับ ทุกคนปลอดภัยเขาก็โล่งใจขึ้นแล้ว ธนาคารยังประกาศด้วยว่าจะมีค่าทำขวัญให้ลูกค้าทุกคนอีกด้วย หลังจากนี้มันคงเป็นเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั่นแหละครับ”
“วุฒิ…ผมอยากให้คุณได้คุยกับผู้จัดการสาขาสักครั้ง”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“นั่นเป็นสิ่งที่นายต้องบอกผมว่ารู้หรือเห็นอะไรมาบ้างหลังจากที่คุยกับเขาแล้ว” วุฒิภาศจ้องหน้าของหัสยุทธอย่างสงสัยแล้วจำเป็นต้องพยักหน้ารับคำสั่งนั้นในที่สุด “ต่อซิ”
“ครับ ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นก็คือ คนร้ายต้องการจะหลบหนีก่อนหน้าที่ตำรวจจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุครั้งหนึ่งครับ โดยมันเลือกตัวประกันไปด้วยหนึ่งคน พนักงานธนาคารบอกว่ามันพยายามจะออกไปทางด้านหลังของอาคาร แต่หายไปไม่กี่นาทีก็กลับเข้ามาอีกครั้ง”
“ตำรวจมา”
“ใช่ครับ ตำรวจมา เข้าใจว่าตอนนั้นทีมของวิญญูน่าจะอยู่ในตลาดแล้ว”
“ถ้ารถคันที่เราสงสัยเป็นรถของมัน ก็แสดงว่ามันพยายามจะกลับไปที่รถ” ทุกคนพยักหน้า แต่หัสยุทธกลับมาขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง “แล้วตัวประกันคนที่มันพาไปด้วยคือใคร คุณถามมารึเปล่า”
“สุภาพสตรีคนเดิมครับ”
เหมือนประกายไฟถูกจุดติดในสมอง หัสยุทธหันไปหาปารุสก์ “ย้อนเทปก่อนที่คนร้ายจะเปิดเผยตัวให้หน่อย”
ปารุสก์ทำตามคำสั่ง หัสยุทธเปลี่ยนจุดสนใจมาที่สุภาพสตรีผู้เป็นลูกค้า เธอกำลังยืนเกาะเคาน์เตอร์พูดคุยกับพนักงาน ไม่นานพนักงานคนนั้นคงแก้ปัญหาให้เธอไม่ได้จึงมีการยกหูโทรศัพท์เรียกผู้จัดการสาขาให้เข้ามาช่วย จากนั้นอีกไม่นานเท่าไรคนร้ายก็ปรากฏตัว…
“มีเหตุผลอะไรถึงเลือกผู้หญิงคนนี้” หัสยุทธรำพึง
“ผู้หญิงควบคุมได้ง่ายกว่าผู้ชาย” วุฒิภาศให้เหตุผลที่เป็นจริงกับหัวหน้าของเขา
“เธอยืนอยู่ใกล้เขามากที่สุดในตอนเริ่มควบคุมเหตุการณ์” อาสดาต่อ
“หรือมันอาจจะรู้ว่าเธอตั้งท้อง” ปารุสก์ช่วย
หัสยุทธเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาเริ่มเปิดอีกประเด็น “มันควบคุมตัวประกันยังไง”
“ใช้กุญแจมือสองคู่พันธนาการคนสองคนไว้ด้วยกันครับ”
วุฒิภาศตอบแต่หัสยุทธนึกภาพไม่ออก ปารุสก์จึงช่วยหาภาพซึ่งทางหน่วยจู่โจมได้ถ่ายไว้ในตอนที่เข้าไปช่วยเหลือตัวประกัน
“คล้องข้อมือกับข้อเท้าไว้ด้วยกันเหรอ เป็นวิธีที่แปลกมาก ผมไม่เคยเห็น”
“ครับ ตอนที่หน่วยจู่โจมเข้าไปช่วยก็แปลกใจเหมือนกัน เขาถ่ายรูปมาให้ผมดูทีหลัง แล้ววิธีนี้ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปได้ยากมากครับ จะเอาตัวประกันออกจากสถานที่เกิดเหตุทันทีก็ไม่ได้เพราะพวกเขาเดินเองไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่นำเครื่องมือมาตัดกุญแจออกก่อน”
“นี่ถ้ามีระเบิดจริงคงตายกันเป็นเบือ” หัสยุทธยังติดใจเรื่องเครื่องพันธนาการอยู่ “ในที่เกิดเหตุมีกุญแจมือทั้งหมดกี่คู่”
“เอ่อ…ไม่ทราบครับ”
“ถ้ากุญแจมือมีจำนวนเท่ากับตัวประกันพอดีพวกนายว่าแปลกไหม มันอาจจะหมายถึงคนร้ายเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีหรือมีคนข้างในส่งสัญญาณไปบอกว่าตอนนี้คนที่อยู่ด้านในธนาคารมีจำนวนพอเหมาะที่มันจะสามารถรับมือได้ แล้วถ้ากุญแจมือมีมากกว่าตัวประกันเราพบส่วนที่เหลือจากตัวคนร้ายไหม หรือถ้ามีน้อยกว่ามีใครบ้างที่ไม่ถูกพันธนาการ ถ้าหาคำตอบเหล่านี้ได้เราก็จะเห็นภาพการควบคุมตัวประกันได้ชัดเจนขึ้น”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” อาสดาคราง “งั้นผมจะตามเรื่องนี้ให้ครับ ต้องมีการบันทึกหลักฐานและจำนวนของกลางที่พบในที่เกิดเหตุอยู่แล้ว ผมจะตามกับหน่วยจู่โจมให้”