LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 7-บทที่ 9
“อืม กลับมาเรื่องของสุภาพสตรีที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ถ้าหมออนุญาตให้สอบปากคำได้เมื่อไรผมอยากรู้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธออย่างละเอียด ทั้งคำพูดของคนร้ายและการกระทำทั้งหมดจนถึงตอนที่ตำรวจไปพบตัวเธอ วุฒิจัดการเรื่องนี้ให้ผมได้ไหม”
“ได้ครับ”
“งั้นต่อ…เรารู้แล้วว่าคนร้ายพยายามจะหนีแต่ไม่สำเร็จ เขาต้องกลับเข้ามาในธนาคารอีกครั้ง คราวนี้เกิดการเจรจาขึ้นโดยในครั้งแรกมันให้ผู้จัดการสาขามาคุย ผมคิดว่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มเจรจาเป็นสิ่งที่พวกมันไม่ได้เตรียมการมาก่อน เพราะฉะนั้นหากจะวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของมันก็ต้องดูที่ช่วงเวลานี้เป็นหลัก”
“มันไม่พูดถึงเงินเลยนะครับ” วุฒิภาศตั้งข้อสังเกต
“เพราะมันรู้สึกว่าสิ่งที่มันได้ไปก็เพียงพอแล้ว”
“แสดงว่ามันต้องการหนีอย่างเดียว” อาสดาบอก
“ใช่ ถ้าหนีช้าทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก”
วุฒิภาศเปิดสมุดบันทึกของเขา “พนักงานหน้าเคาน์เตอร์คนหนึ่งบอกว่าคนร้ายบังคับให้ผู้จัดการสาขาเอาเงินในลิ้นชักใส่ในถุงผ้าให้ครับ เขาต้องทำตามคำสั่ง เธอยืนยันว่าเงินที่ถูกขโมยมีแค่สองถุง คนร้ายที่เสียชีวิตผูกมันติดกับเอว ส่วนคนที่หนีไปได้มันยัดเงินใส่ในเป้ครับ”
“เปิดเทปช่วงที่คนร้ายเดินออกมาจากธนาคารซิรุสก์”
ปารุสก์รีบเปิดวิดีโอที่บันทึกไว้จากกล้องของ NIC ทุกคนจับตามองไปพร้อมกัน หัสยุทธพูดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้สั่งให้หยุดเทป
“คนร้ายเป็นคนเลือกแม่บ้านกับรปภ. มาเป็นคนช่วยพยุงคนเจ็บเอง ผมคิดว่าเขาคงไม่ต้องการเซอร์ไพรส์ การใช้คนแก่ช่วยรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่คิดต่อสู้ แต่…” หัสยุทธลากเสียงแล้วหยุดพูดเมื่อวิรุฬปรากฏตัวขึ้น
“ทำไมต้องใช้ผู้จัดการด้วยครับ ถ้าเขาไม่ต้องการเซอร์ไพรส์” อาสดาสังเกต “ใช้ผู้หญิงยังเข้าใจได้ แต่ผู้ชายจะเอามาด้วยทำไม หรือพวกมันเห็นว่าชีวิตของผู้จัดการมีอำนาจต่อรองมากกว่าคนอื่น”
วุฒิภาศตอบ “ลูกค้าที่เป็นตัวประกันบอกว่าคนร้ายเป็นคนเลือกผู้จัดการด้วยตัวเอง เลือกในวินาทีสุดท้ายก่อนจะออกมาจากธนาคารเลย”
ทุกคนเงียบเสียงอีกครั้งเมื่อถึงจังหวะที่หัสยุทธกำลังจะเข้าไปรับตัวประกันซึ่งบาดเจ็บอยู่… วิรุฬพุ่งตัวไปข้างหน้า คนร้ายตกใจเล็งปืนไปที่หัวไหล่ของเขาในวินาทีถัดมา แล้วทุกอย่างก็ชุลมุนโกลาหล
“ไม่จำเป็นเลย…มันไม่จำเป็นเลย” หัสยุทธกล่าวพร้อมกับส่ายหัวช้าๆ
จู่ๆ ประตูห้องทำงานของ NIC ก็เปิดผางออก ทุกคนที่อยู่ด้านในต่างสะดุ้งตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัวและมัวตกอยู่ในภวังค์ของความคิด โดยเฉพาะหัสยุทธที่ตบมือขวาลงบนด้ามปืนตรงสะโพกอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หัส” คนที่เพิ่งโผล่เข้ามาเรียก
“ไอ้เหี้ย เอ้ย ไอ้โอบ เข้ามาให้สุ้มให้เสียงก่อนสิวะ เดี๋ยวก็ได้กินลูกปืนหรอก”
“ศัตรูเต็มเมืองรึไงถึงต้องตื่นตัวขนาดนั้น”
สมาชิกทุกคนของ NIC เคยชินกับบรรยากาศพูดคำด่าคำของสองคนนี้แล้ว และรู้ดีว่าอีกสักพักพวกเขาก็จะเข้าสู่โหมดการทำงานเองโดยที่ไม่ต้องห้ามทัพ
“มีอะไร นี่กำลังสรุปงานเมื่อคืนอยู่”
โอบเกียรติไม่ยอมนั่ง เขายืนค้ำหัวหัสยุทธด้วยท่าทีร้อนรน “โสภาหายตัวไปแล้ว”
คนฟังพยายามค้นหาชื่อโสภาในสมองของตัวเอง แต่ก็ยังไม่พบและไม่สามารถเชื่อมโยงชื่อนี้ไปยังเรื่องใดๆ ได้ เขาขมวดคิ้วแน่น “ใครวะ…โสภา”
“เอ้า ตัวประกันผู้หญิงเมื่อคืนไง”
คราวนี้หัสยุทธลุกขึ้นยืนทันที ทุกคนในทีม NIC ก็พลอยตาโตไปด้วย
“เมื่อไร”
“พยาบาลบอกครั้งสุดท้ายที่เจอคือตอนตีสอง เมื่อเช้าเอาอาหารกับยาไปให้ก็หายไปแล้ว”
“แล้วไม่มีตำรวจเฝ้าหน้าห้องเลยเหรอ”
“แล้วทำไมต้องเฝ้าวะ” โอบเกียรติทำหน้างง “เธอเป็นผู้เคราะห์ร้ายนะโว้ยไม่ใช่คนร้าย”
ทุกคนในห้องจ้องมองโอบเกียรตินิ่ง คนถูกมองค่อยๆ สบตาทีละคู่ จนในที่สุด…
“ซวยแล้ว พวกนายอย่าบอกนะว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ” ลูกน้องสามคนของหัสยุทธพยักหน้าให้โอบเกียรติพร้อมกัน เขายอมรับเสียงอ่อย “มิน่า ลูกทีมของฉันเช็กประวัติแล้วบอกว่า ชื่อนามสกุลกับที่อยู่ที่เธอบอกไว้กับทางโรงพยาบาลเป็นของปลอมทั้งหมดเลย”
หัสยุทธถอนใจยาว “นี่นายเพิ่งรู้เหรอว่าเธอหายตัวไป”
“ใช่ หมอประจำตัวคนไข้เพิ่งแจ้งมากับตำรวจที่เฝ้าคนร้ายหน้าห้อง ICU เมื่อสักครู่นี้เอง ทางโรงพยาบาลก็วุ่นวายกันนิดหน่อย ฉันเลยมาบอกพวกนายต่อ เฮ้ย แล้วมันยังไงเนี่ย”
“ถ้านายมีเวลาก็นั่งฟังด้วยกัน ดูเหมือนความจริงจะค่อยๆ โผล่มาให้เราเห็นแล้ว” หัสยุทธนั่งลงอีกครั้ง วุฒิภาศดึงเก้าอี้อีกตัวมาให้โอบเกียรติ “รุสก์เปิดเทปแรกอีกครั้งซิ คราวนี้เราจะสมมติให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ดูซิว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน”
“ครับ”
สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว จากตัวประกันกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนร้าย ทีม NIC พยายามมองให้เห็นเหตุการณ์ในอีกมุมหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากเดิม
แล้วความรู้สึกของทุกคนในห้องทำงานของ NIC ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อพวกเขาเข้าใจแล้วว่ามือที่ล็อกไหล่ของหญิงสาวที่อ้างว่าตนชื่อ โสภา นั้นเป็นมือที่ไว้ปกป้องมากกว่าที่จะต้องการทำร้าย คนร้ายในเสื้อลายสก็อตต้องการปกป้องเธอ และพาเธอไปทุกหนทุกแห่งที่เขาต้องการจะไป การเลือกตัวประกันรายนี้ไม่ใช่เป็นการเลือกด้วยเหตุผล หากแต่มันเป็นการเลือกด้วยหัวใจ เขาทั้งสองคนมีบางอย่างที่เชื่อมกันอยู่ หัสยุทธพูดขึ้นมาเบาๆ เมื่อเทปวิ่งไปถึงช่วงที่วิรุฬกำลังจะถูกยิง
“ดูปฏิกิริยาของคนร้าย…เขาตวัดตัวเธอเข้าด้านใน เพื่อให้อยู่ห่างจากเหตุชุลมุน”
วุฒิภาศถามขึ้น “หัวหน้าครับ หรือว่าเขาจะห่วงเรื่องที่เธอตั้งครรภ์”
“ถ้าเขาสองคนมีความสัมพันธ์กัน เขาก็ต้องรู้แน่” หัสยุทธหันไปทางโอบเกียรติ “ท้องจริงใช่ไหม”
“จริง พยาบาลห้องฉุกเฉินเมื่อคืนตอนที่รับตัวเธอไปตรวจเป็นคนบอกเองว่าเด็กในท้องปลอดภัยดี”
หัสยุทธพยักหน้า “ฉันจะเข้าไปในโรงพยาบาลเอง จะตามเรื่องผู้หญิงคนนี้ ส่วนแกจับตาดูคนร้ายที่บาดเจ็บไว้ให้ดี”
“ทำไม กลัวมันลุกขึ้นมาต่อสู้อีกเหรอ”
“ไอ้บ้า ฉันหมายถึงคนที่สมรู้ร่วมคิดกับมันต่างหาก แกคงไม่คิดว่ามันไม่มีคนข้างในธนาคารช่วยเหลือหรอกใช่ไหม”
“อืม ก็คิดอยู่ วันนี้ธนาคารสั่งปิดสาขานั้นหนึ่งวัน พนักงานธนาคารที่บาดเจ็บสองคนอยู่ในโรงพยาบาล ที่เหลือก็พักรักษาตัวและสภาพจิตใจอยู่ที่บ้าน ฉันได้ประวัติของทุกคนมาหมดแล้ว”
“ดี ลองดูว่านายสงสัยใครมากที่สุด ถ้ามีคนคนนั้นอยู่จริง มันคงไม่แฮปปี้เท่าไรที่คนร้ายยังมีชีวิตอยู่ เพราะแผนเดิมของพวกมันคือมาปล้นแล้วหนีไป แต่เมื่อเหตุการณ์มันเลยเถิดมาจนถึงตอนนี้ พวกมันต้องพยายามเอาตัวรอดกันทุกทางแน่”
“โอเค งั้นแยกย้ายกันทำงาน” โอบเกียรติลุกขึ้นยืน “เอ้อ แล้วเรื่องสื่อว่าไง ธนาคารต้องการให้ตำรวจพูดเรื่องความคืบหน้าของคดีกับสื่อด้วย”
หัสยุทธส่ายหน้า “ยังไม่ใช่ตอนนี้ พวกเราต้องปิดเรื่องความสัมพันธ์ของผู้ร้ายกับตัวประกันไว้ก่อน ให้เรารู้เรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนว่าความจริงมันเป็นยังไง เพราะถ้าเราพูดไปผู้สมรู้ร่วมคิดที่ยังไม่รู้จักจะไหวตัวทัน ทีมของนายควรลงพื้นที่ไปเยี่ยมพนักงานทุกคนที่บ้านนะ”
หัสยุทธพูดจาเปิดทางให้โอบเกียรติ อีกฝ่ายเห็นด้วยทันที เขาพยักหน้านิดๆ แล้วเดินออกจากห้องไป