LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน ราคะ บทที่ 7-บทที่ 9
หัสยุทธกับวุฒิภาศเดินทางมาถึงโรงพยาบาลในตอนใกล้เที่ยง พวกเขาตั้งใจตามเรื่องของตัวประกันหญิงโดยเฉพาะ เมื่อมาถึงจึงต้องรายงานตัวที่ประชาสัมพันธ์และขอพบแพทย์ผู้ให้การตรวจรักษาตัวประกันคนดังกล่าวก่อน ไม่นานเขาก็ถูกเชื้อเชิญให้ขึ้นไปยังอาคารผู้ป่วยใน ซึ่งแพทย์ท่านนั้นยังคงประจำการอยู่ในเวลานี้
นายตำรวจทั้งสองนั่งรอที่โซฟารับแขกด้านข้างเคาน์เตอร์ของพยาบาลประจำวอร์ด ระหว่างนั้นวุฒิภาศเดินเข้าไปสนทนากับนางพยาบาลซึ่งกำลังจัดประวัติของคนไข้ในอยู่ เขาได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มเป็นอย่างดี
“มีอะไรให้ช่วยคะคุณตำรวจ”
“ผมอยากถามเรื่องคนไข้ที่หลบหนีออกไปหน่อยครับ”
พยาบาลสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่มั่นใจว่าตนเองควรจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่
“เอ่อ ผมไม่ถามอะไรมากหรอก แค่อยากรู้ว่าเธอนอนพักอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ มีญาติคนอื่นมาเยี่ยมบ้างไหม”
เป็นคำถามที่ไม่ยากและไม่ล่วงล้ำขอบเขตการทำงานของโรงพยาบาลมากเกินไป ในที่สุดพยาบาลคนหนึ่งก็ยอมตอบ
“ไม่มีค่ะ ตั้งแต่เข้ามาเราก็พยายามสอบถามแล้วว่าต้องการให้โรงพยาบาลติดต่อสามีไหม เธอบอกว่าสามีเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนญาติคนอื่นก็ไม่มีค่ะ พวกเรายังนึกสงสารเธออยู่เลย ไม่มีเหตุผลที่จะหนีออกไปเฉยๆ เลยเนอะ” ประโยคท้ายนั้นเธอหันมาพยักเพยิดกับเพื่อนร่วมงาน
วุฒิภาศจำคำสั่งของหัสยุทธได้ว่าเรื่องทุกอย่างต้องเป็นความลับ เขาจึงไม่พยายามทำพิรุธกับสิ่งที่ได้รู้เพิ่มเติม เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอาจจะพลอยสงสัยไปด้วย
“ที่คุณตำรวจมานี่เพราะยังไม่ได้สอบปากคำคนไข้เลยใช่ไหมคะ”
“อ่า ครับ ใช่ เรายังไม่ได้สอบปากคำอย่างเป็นทางการ แต่ก็น่าเห็นใจเธอ อาจจะยังช็อกจนอยากกลับบ้านมากก็ได้”
“จริงค่ะ ใครเจอสถานการณ์แบบนั้นก็ต้องช็อกกันทั้งนั้นแหละ แต่เธอบอกว่ามีโรงพยาบาลประจำนะคะ เธออาจจะกลับไปรักษาตัวต่อที่นั่นก็ได้”
วุฒิภาศขมวดคิ้วน้อยๆ “งั้นเหรอครับ แล้วเธอบอกไหมว่าโรงพยาบาลอะไร”
“ไม่ได้บอกค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าคงเป็นโรงพยาบาลเอกชนแน่ๆ คงไม่อยากจะรักษาตัวในโรงพยาบาลรัฐอย่างเรา แม้ทางธนาคารจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดก็เถอะ แต่คงไม่สะดวกสบายสำหรับเธอ”
พยาบาลคนที่สองซุบซิบเบาๆ ผสมโรงแต่วุฒิภาศก็พอได้ยิน
“เห็นว่าเธอมีเงินในกระเป๋าเป็นฟ่อนเลยนี่พี่”
“เอ้า ก็กำลังจะไปติดต่อธนาคารแต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน โชคดีที่โจรมันไม่เห็นแล้วปล้นไปซะด้วย”
คล้ายกับจะเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรนินทาคนไข้ เมื่อนายแพทย์ท่านหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองจึงได้หยุดพูด วุฒิภาศเดินกลับไปหาหัสยุทธในจังหวะที่นายแพทย์คนนั้นเดินมาถึงชุดโซฟารับแขกพอดี นายตำรวจทั้งสองจึงยืนขึ้นแล้วทักทายตามมารยาท
“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของไข้คุณโสภา เห็นทางตำรวจแจ้งมาว่าต้องการคุยกับผม”
“ใช่ครับ คงต้องขอรบกวนคุณหมอสักครู่ ผม…หัสยุทธ พนักงานสอบสวนของคดีนี้ครับ ส่วนนี่วุฒิภาศ ลูกน้องผมเอง เชิญคุณหมอนั่งก่อนครับ”
“ไม่อยากไปคุยที่ห้องทำงานของผมเหรอ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่มีความลับอะไร”
“โอเค”
เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว หัสยุทธจึงเริ่มบทสนทนา
“สุขภาพของคุณโสภาเป็นยังไงบ้างครับ”
“ปกติดีครับ อาจจะมีอาการช็อกนิดหน่อย แต่ทั่วไปก็ถือว่าปกติดี เธออายุยังน้อย ร่างกายจะฟื้นตัวได้เร็วครับไม่ต้องเป็นห่วง”
“แล้วเธอมีอายุครรภ์เท่าไรครับ คุณหมอพอจะทราบไหม”
“จากการสอบถามเธอบอกว่าประมาณสิบสัปดาห์ ซึ่งเธอมีหมอประจำตัวแล้ว มีการฝากครรภ์เรียบร้อยแล้ว เราก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงตรงนั้น เพราะเห็นว่าเป็นการเข้ามารักษาตัวแบบฉุกเฉิน เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่างทางโรงพยาบาลก็ไม่มีสิทธิ์เหนี่ยวรั้งเธอไว้อยู่แล้ว ความจริงรออีกไม่กี่ชั่วโมง รอตรวจครั้งสุดท้าย ผมก็จะอนุญาตให้กลับบ้านอยู่แล้วล่ะครับ”
หัสยุทธพยักหน้าน้อยๆ วุฒิภาศถามต่อ
“คุณหมอพอจะบอกได้ไหมครับว่าเธอหลบหนีออกไปได้ยังไง มันไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ”
“อันนี้เจ้าหน้าที่ของเราก็จะถูกลงโทษเหมือนกันที่หละหลวม ถ้าให้ผมเดา คิดว่าน่าจะเป็นช่วงรุ่งสางที่ประตูแผนกคนไข้ในถูกเปิดออก แล้วตอนนั้นแผนกอาหารจะเตรียมลำเลียงอาหารของคนไข้จากห้องครัวขึ้นมาบนตึก และเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนเวรของพยาบาลพอดีด้วยครับ”
หัสยุทธไม่อยากให้หมอสงสัยในการมาของพวกเขาจึงรีบเลี่ยงคำถามทำนองเดียวกับวุฒิภาศ “ช่วงที่แผนกฉุกเฉินรับตัวคนไข้มามีการบันทึกภาพคนไข้ไว้ไหมครับ”
“มีครับ เป็นปกติที่หากคนไข้เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินจะต้องมีการบันทึกภาพคนไข้ไว้อย่างละเอียดอยู่แล้ว เพราะหากไม่เป็นคดีอย่างที่คุณตำรวจมาขอนี่ บางทีก็จะใช้ประโยชน์ในเรื่องการขอเคลมประกันต่างๆ”
“ดีเลยครับ ผมขอดูภาพและประวัติเหล่านั้นได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ แต่คงต้องลงไปติดต่อที่ชั้นล่าง คุณตำรวจไปพร้อมกันกับผมก็ได้”
“ขอบคุณมากครับ”
หัสยุทธยิ้ม แล้วคนทั้งสามก็ลุกจากเก้าอี้พร้อมกัน ในระหว่างที่เดินไปนั้นโทรศัพท์มือถือของหัสยุทธก็ดังขึ้น เขาขออนุญาตรับสายนั้น เพราะดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการทำงาน
“ว่าไงวิญญู”
“สารวัตรโอบให้โทรมารายงานครับว่าคนร้ายตายแล้ว”
คนฟังขมวดคิ้ว “เดี๋ยวนี้เหรอ”
“ครับ”
“เดี๋ยวผมจะไปดู แต่คุณควรโทรไปบอกทางนิติเวชไว้ว่าวันนี้มีอีกศพให้ชันสูตร ผมอยากรู้ผลเร็วๆ”
“ได้ครับ แล้วผมจะจัดการให้”
หัสยุทธวางสายลง ความหวังที่จะพึ่งคำให้การของคนร้ายเป็นศูนย์แล้ว ต่อไปนี้เขาต้องพยายามหาความจริงจากพยานและหลักฐานที่มีอยู่เท่านั้น