แท็กซี่ขับผ่านประตูสถานสงเคราะห์เด็กมาแล้ว อิ๋วหันไปมองประตูเหล็กนั่นด้วยความรู้สึกทั้งรักและทั้งเกลียด เธออยู่ที่นั่นก่อนจำความได้และถูกบังคับให้ออกมาเผชิญชีวิตข้างนอกหลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ไม่มีใครถามว่าเธอพร้อมไหมกับการใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ที่ไม่มีใครดูแล พวกเขาแค่รู้สึกว่าเธอโตเกินไปที่จะอยู่ข้างใน และที่ที่เธอเคยอยู่จะเป็นประโยชน์สำหรับเด็กคนอื่นต่อไป ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นภาระชิ้นใหญ่ที่ไม่มีใครต้องการ
“เอ้า นังหนูดูเอาว่าแบบไหนที่พอจะอยู่ได้ โรงแรมเล็กๆ ใกล้สถานสงเคราะห์ก็มีแค่สองสามที่ที่พอจะมองเห็นนี่แหละ”
คนขับพารถไปจอดในซอยพร้อมกับชี้มือไปยังป้ายเก่าๆ ที่มีลูกศรบอกว่าในซอยนี้มีที่พักราคาถูกบริการอยู่ อิ๋วพยักหน้าน้อยๆ
“ฉันลงตรงนี้ก็ได้”
เธอค้นกระเป๋าถือแล้วหยิบเงินขึ้นมาฟ่อนหนึ่ง เมื่อเห็นคนขับกำลังลอบมองตรงกระจกมองหลังเธอก็รีบเก็บมันไว้แล้วดึงธนบัตรใบละร้อยสามใบขึ้นมายื่นให้เขา
“เอานี่ ไม่ต้องทอน”
“ขอบใจ”
อิ๋วรีบสะพายกระเป๋าถือเข้าหัวไหล่แล้วรวบถุงพลาสติกบนเบาะมากำไว้ เธอเปิดประตูรถแล้วลงเดินต่อเข้าไปในซอย หญิงสาวจะตัดสินใจเลือกที่พักสักแห่งเพื่อเป็นที่นัดพบกับสามี
การเสียชีวิตของโอ่งทำให้เรื่องทุกอย่างยุ่งยากขึ้นไปอีก เมื่อคนร้ายสองคนเสียชีวิตลงทั้งคู่ ถึงดูเหมือนการให้ข่าวเพียงสั้นๆ กับสื่อมวลชนว่าคนร้ายทั้งสองเสียชีวิตแล้วจะทำให้ประชาชนพึงพอใจ สังคมออนไลน์ต่างแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่าความชั่วร้ายได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นลงแล้ว แต่คณะทำงานของตำรวจและผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีนี้เท่านั้นที่รู้ว่าทุกอย่างยังไม่จบ
วิรุฬสามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้วในตอนบ่ายของวันนี้ เขายิ้มกับข่าวที่เพิ่งถูกเสนอทางโทรทัศน์ ภรรยาเดินเข้ามาหาเขาที่เตียงพร้อมกับรอยยิ้ม
“หมดเรื่องวุ่นวายสักทีนะคะ”
“ใช่”
“ตอนที่รู้ข่าวว่าคุณถูกจับเป็นตัวประกันฉันหัวใจจะวายรู้ไหม”
“เอาน่า ตอนนี้ผมก็รอดมาแล้ว แถมได้รับคำชมเชยจากหัวหน้ามากมาย ต่อไปคงจะมีแต่เรื่องดีๆ ล่ะ แล้วนี่ลูกสาวของเราไปไหน”
“ไปเรียนสิคะ เดี๋ยวตอนเย็นก็จะกลับมาเฝ้าคุณเหมือนเดิม” ภรรยานายธนาคารยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกข่าวสำคัญ “ตอนสี่โมงเย็นตำรวจจะขอสอบปากคำคุณเพิ่มอีกครั้งนะคะ”
หน้าตาที่เคยเปี่ยมสุขเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองทันที ดวงตาขวางอย่างที่คนพูดก็สะดุ้งเมื่อได้เห็น “สอบปากคำอะไรอีก คนร้ายตายไปหมดแล้วนี่ เรื่องก็น่าจะจบได้แล้ว”
“นั่นสิคะ ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน” เธออึกอัก “เห็นตำรวจพูดถึงเรื่องเงินที่หายไปน่ะค่ะ เอ่อ อาจจะอยากสรุปว่าคนร้ายขโมยไปเท่าไรมั้งคะ”
“โอ๊ย ยุ่งจริง นี่คนยังป่วยอยู่นะ รอให้หายก่อนไม่ได้รึไง”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันไปบอกตำรวจก่อนไหมคะว่าคุณยังไม่พร้อม”
วิรุฬนิ่งไป สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิดหนัก หากปฏิเสธไปก็กลัวว่าตำรวจจะสงสัย ในที่สุดเขาจึงคิดจะสู้ “ไม่ต้อง ให้เขามาพบก็ได้”
“ค่ะ”
ภรรยารับคำแล้วเดินออกจากห้องพักฟื้นไป ทิ้งให้วิรุฬต้องรีบหาคำตอบ ‘เงิน’ เป็นสิ่งสำคัญรองมาจากชีวิตของมนุษย์ พนักงานไม่ตายสักคนแค่บาดเจ็บ กับลูกค้าธนาคารที่ทุกคนปลอดภัยดี ทุกอย่างมันก็น่าจะออกมาดี เขาไม่ควรจะตื่นตระหนกเกินไป เวลานี้ต้องนิ่งที่สุดแล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เขาเชื่ออย่างนั้น
ศพที่สองถูกส่งมาถึงห้องชันสูตรของแพทย์หญิงบุษบงกชแล้ว พจนีย์เข็นเตียงของชายไร้วิญญาณซึ่งตอนนี้ถูกผ้าขาวคลุมปิดทั่วทั้งร่างมาเทียบกับเตียงที่มีอยู่เดิม บุษบงกชสวมชุดพลาสติกคลุมทับชุดทำงาน คาดที่ปิดปากและจมูก แล้วสวมถุงมือยาง เธอเดินมาสมทบกับผู้ช่วยที่เตียงใหม่
“หนูรู้เหตุผลแล้วว่าทำไมตำรวจอยากให้พิสูจน์อัตลักษณ์วันนี้”
“ทำไมเหรอ” เสียงของเธออู้อี้หลังที่คาดปาก แต่ก็พอฟังออก
“ตำรวจที่เอาศพมาส่งบอกว่ายังมีคนร้ายหลบหนีไปได้ค่ะ”
“อ้าว ไหนสารวัตรบอกว่าคนร้ายมีสองคน”
พจนีย์ส่ายหน้า บุษบงกชซึ่งรวบผมยาวไว้เป็นก้อนกลมบนศีรษะตั้งแต่เช้ามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด เธอเปิดผ้าคลุมร่างของชายคนที่มาใหม่ออก มีบาดแผลถูกยิงตรงช่องท้องชัดเจน ส่วนขาข้างซ้ายก็มีรอยเลือดอยู่ด้วย
“โดนไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย” เธอถอนหายใจ “ทำไมนายไม่หาอาชีพดีๆ ทำนะ พจ…เอาหมึกมาพิมพ์ลายนิ้วมือก่อน
“ค่ะ”
พจนีย์หาอุปกรณ์พร้อมกระดาษที่ใช้วางตำแหน่งลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้วมาไว้ข้างศพ ส่วนบุษบงกชยังคงดูสภาพทั่วไปของผู้เสียชีวิตด้วยตาเปล่าอยู่ เธอค่อนข้างสนใจรอยสักที่อยู่บนต้นแขนขวาของชายคนที่สอง