บทที่ 4 ผิดไปแล้ว
น้ำหนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ทั้งยังมีเสียงเพลงเบาๆ เปิดคลออยู่หน้ารถอีกต่างหาก ปฐวีคงเปิดไว้แก้เหงาระหว่างขับรถนี่เอง
แต่แล้ว…เมื่อได้ยินชัดว่าเป็นเพลงอะไร น้ำหนึ่งก็ชะงักแล้วมองที่หน้าคอนโซลรถเพื่อดูว่าปฐวีฟังมันจากวิทยุหรือเปิดเอง
ปฐวีเห็นสายตาของหญิงสาวก็เดาเอาว่าคงสนใจเพลง จึงบอกว่า “ผมเปิดจากซีดีที่คุณหนึ่งเคยซื้อให้ไง จำได้ไหม”
น้ำหนึ่งไม่ได้ตอบ แต่เธอจำได้…ว่าปฐวีชอบเพลงของเทย์เลอร์ สวิฟต์ เธอก็เลยซื้อให้เขาทุกอัลบั้มที่ออกมาในตอนนั้น ไม่พอยังส่งข้ามประเทศมาให้ทันก่อนวันเกิดเขาอีกต่างหาก
“อืม…มันน่าจะเป็นของขวัญวันเกิดปีล่าสุดที่ผมได้จากคุณหนึ่ง จำได้ว่าส่งมาให้ผมช่วงที่คุณหนึ่งไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ผมว่าคุณหนึ่งคงจำไม่ได้หรอก ถึงไม่บอก ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณย่าคงบอกให้ซื้อให้ผมมากกว่า”
ปฐวีพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงมันก็เป็นของขวัญที่ถูกใจผมมาก”
“แล้วทำไมพี่วีจะต้องคิดว่าหนึ่งซื้อเพราะคุณย่าบอกให้ซื้อด้วยล่ะ หนึ่งก็ซื้อของขวัญให้ทุกคนที่หนึ่งเมมวันเกิดไว้ในมือถือเองนั่นแหละ เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจำเองแล้ว”
“ถ้างั้นคุณหนึ่งได้อีเมลที่ผมส่งไปขอบคุณหรือเปล่า ไม่เห็นตอบผมมาเลย”
ที่จริงน้ำหนึ่งเห็นแล้วแต่ไม่ตอบ เพราะตอนนั้นเธอยังไม่หายโกรธที่ปฐวีไม่ยอมไปเรียนต่อเป็นเพื่อน แถมเขายังบอกทิ้งท้ายก่อนจากกันอีกว่าแค่ช่วยดูแลเธอซึ่งไม่ต่างจากการเป็นคนรับใช้ให้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันก็นับว่าเกินพอแล้ว
แน่นอนว่ามันทำให้น้ำหนึ่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนไม่ยอมคุยกับเขากระทั่งถึงวันขึ้นเครื่องไปอังกฤษ แต่ปฐวีก็ไม่แม้แต่จะตามมาส่งเธอที่สนามบินพร้อมคุณย่า กลับหายหน้าไปเสียดื้อๆ และไม่ยอมส่งอีเมลตามมาง้อเธอแม้แต่ฉบับเดียว
แต่ไม่รู้ทำไม…ทั้งที่ปฐวีไร้เยื่อใยกับเธอถึงขนาดนั้นแล้ว เธอยังมีแก่ใจนึกส่งของขวัญไปให้เขา ไม่พอยังอุตส่าห์ออกไปซื้อให้เองและส่งให้กับมืออีกต่างหาก มันอาจจะเป็นของขวัญที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่เธอเคยซื้อให้เพื่อนฝูง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นชิ้นเดียวที่เธอได้เลือกอย่างพิถีพิถันมากกว่าของใครทั้งหมด
พอเวลาผ่านไปจนหายโกรธ เรื่องเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นอะไรที่ถูกหลงลืมไป หรือหากนึกได้ขึ้นมามันก็นานเกินกว่าจะตอบอะไรกลับไปอยู่ดี
“ไม่เห็นนี่…พี่ส่งมาด้วยเหรอ สงสัยคงเผลอลบไปพร้อมกับอีเมลอันอื่น”
ปฐวีได้ยินก็อดหันมามองแวบหนึ่งไม่ได้
“โห…ใจร้ายแฮะ ยอมรับมาเถอะว่าที่จริงแล้วคุณหนึ่งวานให้ใครสักคนซื้อส่งให้ผม ก็เลยลืมสนใจว่าผมส่งอีเมลหาทำไม”
“ใครกันแน่ที่ใจร้าย พี่วีนั่นแหละ!”
น้ำหนึ่งหันไปแหวใส่อย่างลืมตัว แต่พอเห็นสีหน้าแปลกใจของปฐวีก็ทำท่าฮึดฮัดใส่แล้วพูดเฉไฉไปทางอื่นแทนเสีย
“ช่างมันเถอะ อย่ามาเถียงเรื่องไร้สาระนี่เลย ใครจะเป็นคนซื้อ ใครจะเป็นคนส่งก็ช่างหัวมัน”
“เป็นอะไรอีกล่ะครับคุณหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็ของขึ้นเสียอย่างนั้น”
“พี่นั่นแหละ เงียบไปเลย หนึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดี”
พูดไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังเอื้อมมือไปกดปิดเพลงด้วย ทำให้ปฐวีได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา ทั้งที่เขาควรเป็นฝ่ายโกรธที่ถูกน้ำหนึ่งมาทำลายชีวิตประจำวันอันแสนสงบจนป่นปี้ กลับกลายเป็นว่าเขาคือคนผิดไปเสียทุกเรื่อง
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังต้องเอากระดูกมาแขวนคออีก นี่มันคราวเคราะห์แท้ๆ เลยไอ้วีเอ๊ย
ครั้นเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศชักจะเงียบเกินไปจนน่าอึดอัด น้ำหนึ่งก็เลยยื่นมือไปกดเปิดเพลงใหม่ แล้วถามว่า “แล้วนี่ถึงไหนแล้วล่ะ อีกไกลไหม”
“ก็น่าจะ…อีกประมาณร้อยกิโล เราเพิ่งเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่เมื่อกี้นี้เอง”
“เรามาไกลขนาดนี้แล้ว พวกนั้นคงไม่ตามมาแล้วล่ะ”
พอน้ำหนึ่งพูดถึงคนพวกนั้นขึ้นมา ปฐวีก็เลยได้โอกาสถามเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเขาอีกครั้ง ซึ่งระหว่างที่น้ำหนึ่งเผลอหลับไปบนรถ เขาก็ได้โทรไปหาลุงนาเมืองเพื่อขอให้ไปช่วยดูบ้านให้ก่อนชั่วคราวแล้ว
แน่นอนว่าชายวัยกลางคนย่อมซักถามถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ด้วยความตกใจ โดยเฉพาะเมื่อได้รู้จากลูกสาวถึงความสงสัยเรื่องที่ว่ามีผู้หญิงมาแอบอยู่ในบ้านของปฐวีเมื่อเช้านี้…
‘นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะวี เล่าให้ลุงฟังเดี๋ยวนี้เลย’
ลุงนาเมืองตกใจมากเมื่อไปเห็นสภาพบ้านของปฐวีหลังจากคนแปลกหน้าได้ยกโขยงกลับไปกันจนหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแปลงดอกกุหลาบขาวสุดรักสุดหวงของชายหนุ่มที่ถูกรอยเท้าเหยียบย่ำอย่างไม่ปรานี หรือประตูบ้านที่เปิดไว้อ้าซ่าโดยไม่มีคนอยู่ ทว่ากลับดูเหมือนจะไม่มีข้าวของมีค่าหายไปแต่อย่างใด
แม้แต่ตัวปฐวีเองก็ยังไม่อาจจับต้นชนปลายได้ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่เล่าเท่าที่รู้ให้ฟังไปก่อน ถึงอย่างนั้นก็ทำให้นาเมืองประหลาดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมาหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของน้ำหนึ่ง