‘ยังไงผมก็ฝากบ้านไว้กับลุงเมืองด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะเรียกแก่นให้มาช่วยห่อหนังสือรับออเดอร์ลูกค้าไปก่อน ผมจะรีบจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุดแล้วรีบกลับบ้านเลย’
ปฐวีจบบทสนทนาลงด้วยการเอ่ยปากรบกวนชายวัยกลางคน เขาตั้งใจว่าพอไปถึงบ้านของคุณย่าบุษยาแล้วจะรีบเค้นเอาความจริงทุกอย่างจากปากของน้ำหนึ่งทันที และเมื่อสะสางเรื่องราวอันยุ่งเหยิงนี้เสร็จก็จะได้กลับบ้านไปใช้ชีวิตตามปกติสุขดังเดิม
ทว่าชายหนุ่มคงจะไม่ได้คาดฝันว่าเรื่องราวมันจะลุกลามไปใหญ่โตเกินกว่าที่เขาคิดไว้แต่แรกมากนัก แม้แต่ตัวน้ำหนึ่งเองก็ตามที
“ว่าแต่พวกนั้นนี่มันใครกันครับ คุณหนึ่งจะยอมเล่าให้ผมฟังได้หรือยัง”
น้ำหนึ่งเงียบไปอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามที่เธอเลี่ยงจะตอบมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพราะหญิงสาวกลัวว่าหากบอกความจริงออกไปแล้วปฐวีจะต้องโกรธมาก จนอาจถึงขั้นไม่ยอมพาเธอไปหาคุณย่าก็ได้
“ตกลงจะไม่ยอมตอบผมสักหน่อยเหรอ”
“ถ้าอย่างนั้น…พี่วีรับปากอะไรกับหนึ่งก่อนได้ไหม”
เอาล่ะสิ ถ้าลองน้ำหนึ่งพูดแบบนี้แสดงว่าสิ่งที่หญิงสาวจะบอกกับเขาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ และอาจจะหนักกว่านั้นหากเขาถูกดึงให้เข้าไปมีเอี่ยวด้วย
“อะไรล่ะครับ คุณหนึ่งกำลังทำให้ผมใจไม่ดีนะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ทำใจดีๆ ไว้ก่อนดีกว่า ไว้ถึงบ้านคุณย่าแล้วหนึ่งค่อยเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
น้ำหนึ่งเอื้อมมือไปตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ อย่างโล่งใจเมื่อคิดว่าอาจจะสามารถปัดเรื่องน่าหนักใจให้พ้นออกจากตัวได้ชั่วคราว
“ไม่เป็นไรดีกว่า คุณหนึ่งจะให้ผมรับปากอะไรล่ะ” ปฐวีพูดพลางเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย “บอกมาตอนนี้ได้เลย”
“แต่…จะดีเหรอ”
“ดีครับ เล่ามาเถอะนะ ขอร้องล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รับปากก่อนว่าจะไม่โกรธหนึ่ง”
ปฐวีชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเรื่องราวโกลาหลนี้ทำท่าจะมาเกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าจริงๆ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าน้ำหนึ่งจะทำอะไรให้เขาโกรธ
ไม่สิ…ถ้าเป็นน้ำหนึ่งย่อมทำได้อยู่แล้ว ต่อให้เรื่องนั้นมันจะเล็กน้อยเสียจนไม่น่าทำให้เขาโกรธได้เลยก็ตาม
“รับปากสิ ถ้าไม่ หนึ่งก็ไม่เล่า”
“โอเคๆ ไม่ว่าคุณหนึ่งจะเล่าอะไรให้ฟัง ผมก็จะไม่โกรธ”
“รับปากแล้วห้ามคืนคำนะ” น้ำหนึ่งย้ำถาม
“ครับ ไม่คืนคำ รีบเล่ามาเถอะ”
ปฐวีชักจะเริ่มรำคาญขึ้นมาเมื่อน้ำหนึ่งทำยึกยักไม่ยอมเล่าให้ฟังเสียที ไหนยังจะมากระตุ้นความอยากรู้ด้วยการขอให้เขารับปากว่าจะไม่โกรธอีก
น้ำหนึ่งนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี จนกระทั่งเธอตัดสินใจเริ่มต้นด้วยประโยคที่แย่ที่สุดของเรื่องนี้
“ที่อยู่ๆ หนึ่งมาหาพี่วีถึงเชียงรายไม่ใช่เพราะเรื่องสตอล์กเกอร์บ้าบออะไรนั่นหรอก แต่เป็นเพราะจะมาสร้างความเดือดร้อนให้พี่ต่างหาก”
หญิงสาวพูดออกมารวดเดียวโดยไม่ยอมหันไปมองหน้าปฐวี และคงจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดเวลาที่พูดถึงเรื่องดังกล่าว
“ว่าอะไรนะ!” ปฐวีถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของอีกฝ่าย
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เข้าเป็นพวกเดียวกับแม่นางร้ายโชติรส หนึ่งก็คงไม่ต้องทำแบบนี้หรอก!”
คำอธิบายกระท่อนกระแท่นของน้ำหนึ่งไม่ได้ทำให้ปฐวีเข้าใจอะไรมากขึ้นสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้เขางงหนักขึ้นกว่าเก่าเสียอีก
“แม่นางร้ายอะไรกัน ผมไม่เห็นจะเข้าใจ”
“ก็พี่พีท…” น้ำหนึ่งพูดถึงแค่คำนี้ก็หยุดไปเสียดื้อๆ เหมือนกับว่าเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
“คุณพีท? คุณพีททำไมกัน พูดให้มันเข้าใจกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ”
“พี่พีท…ไปบังเอิญรู้มาว่าพี่วีน่ะไปหนุนหลังยายโชติรสให้บอยคอตหนึ่ง จนคนทั้งกองถ่ายไม่คุยกับหนึ่งทั้งเดือนก่อนจะปิดกล้อง”
“หา!”
ปฐวีร้องออกไปอย่างนึกไม่ออกว่าเขาจะไปทำอะไรอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อเขาปลีกตัวมาอยู่เชียงรายเป็นปีๆ แล้ว
“ผมเนี่ยนะ เข้าใจผิดแล้วมั้ง”
“ไม่หรอก ก็…” น้ำหนึ่งเม้มริมฝีปากเหมือนไม่ชอบใจกับสิ่งที่จะพูดต่อไป “ก็แม่รสคนนี้น่ะ เป็นเพื่อนคณะเดียวกับแฟนเก่าพี่วีไม่ใช่เหรอ อย่ามาทำเป็นไม่รู้จักหน่อยเลย”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าผมไม่รู้จักโชติรส แต่ผมไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้เค้าเลยตั้งแต่เลิกกับแพรไป เอาจริงๆ ตอนคบกับแพรผมก็ว่าผมเคยพูดกับเค้าไม่เกินสองประโยคด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องบอยคอตอะไรนั่นเลย เบอร์โทรก็ไม่เคยมีหรอก”
นั่นเพราะโชติรสก็เป็นพวกลูกเศรษฐีที่ไปไหนก็ยืนเชิดคอตั้งบ่าอยู่ตลอดเวลาไม่ต่างจากน้ำหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ไม่เลิศเท่า ไม่รวยเท่า และก็…ไม่สวยเท่าเท่านั้นเอง