LOVE
ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 4
“คุณหนึ่งเชื่ออย่างนั้นจริงเหรอ เอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าจะมีใครยอมหลงเชื่อเหตุผลที่โคตรจะงี่เง่าพวกนี้ได้ ไม่รู้สึกบ้างเหรอว่ามันฟังไม่ขึ้น นี่ไม่พอคุณหนึ่งยังยอมเล่นละครลิงตามพวกเขา หลักฐานก็ดูจะเมกเอาได้ง่ายๆ อีกต่างหาก”
“พี่วี!” น้ำหนึ่งแทบจะน้ำตาคลอเบ้ากับคำพูดเจ็บแสบของปฐวี แม้แต่คนพูดเองก็ยังรู้สึกได้ว่าออกจะเกินไปสักหน่อย
“ไม่งี่เง่าก็ได้ ผมแค่จะบอกว่ามันเป็นเหตุผลไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่ เหมือน…แถไปเรื่อยเพื่อให้คุณหนึ่งมาสร้างความเดือดร้อนให้ผมมากกว่า”
“นี่ก็ไม่ได้ดีกว่ากันนักหรอก เหมือนพี่ว่าหนึ่งโคตรงี่เง่านั่นแหละ”
เมื่อเป็นอย่างนั้นปฐวีเลยเลิกพูดแล้วขอให้น้ำหนึ่งเปิดหลักฐานที่ทำท่าว่าเชื่อนักเชื่อหนาขึ้นมาใหม่ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ย่นหัวคิ้วแล้วพึมพำออกมาว่า “ต่อให้ข้อความในรูปนี้มันจะสมจริงแค่ไหน แต่นี่มันไม่ใช่วิธีการพูดของผมสักนิด อย่างน้อยผมก็ไม่เคยใช้คำว่าหลานสาวย่าบุษ หรือเรียกคุณย่าว่าย่าบุษ”
คำว่า ‘หลานสาวย่าบุษ’ ที่เห็นอยู่ในบทสนทนามีเพียงจุดเดียว ขณะที่จุดอื่นคือคุณย่า ทำให้น้ำหนึ่งนิ่งอึ้งไปทันใด เพราะเธอรู้จักคนที่เรียกคุณย่าอย่างนี้อยู่คนหนึ่ง
“นี่ไง ที่บอกว่าหลานสาวย่าบุษต้องโดนอย่างนี้เสียบ้าง ถึงจะรู้สึก”
เมื่อคดีพลิกผันจากหน้ามือไปเป็นหลังมือในพริบตา คนพูดไม่ออกจึงกลับกลายเป็นน้ำหนึ่งแทน
บ้าจริง! ทำไมเธอไม่ฉุกใจคิดบ้างว่าคำนี้มันเป็นคำที่ใครบางคนใช้อยู่หลายครั้ง แต่เป็นคำที่ปฐวีไม่เคยใช้เลยสักครั้ง
“พี่วีคงเตรียมเอาไว้เผื่อถูกจับได้ล่ะสิ เลยวางแผนเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า”
น้ำหนึ่งยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“ถึงยังไงคุณหนึ่งก็คงไม่ยอมเชื่อผมสินะ ทั้งๆ ที่คำพูดพวกนี้มันไม่ใช่คำพูดของผมเลยสักนิด แล้วก็ไม่เป็นธรรมชาติอีกต่างหาก แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเกิดว่าคุณหนึ่งมั่นใจนักว่าผมผิด แล้วทำไมต้องวิ่งหนีหน้าตาตื่นออกมาจากบ้านผม ขอให้ผมพาหนีไปหาคุณย่า หรือว่านี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนอีกเหมือนกัน”
ไม่ใช่…น้ำหนึ่งตอบตัวเองได้ทันที ยิ่งกว่านั้นที่เธอหนีมาก็เพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับชายแปลกหน้าที่โผล่มาถึงบ้านปฐวีด้วย
“แล้วนี่จะเอาไงต่อล่ะ ถึงยังไงเราก็คงต้องไปตั้งหลักบ้านคุณย่ากันก่อนล่ะนะ เพราะผมเองก็ยังไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร หรือว่า…เป็นคนของคุณหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งในแผนเอาคืนผมด้วย?”
“ไม่ใช่” น้ำหนึ่งตอบออกไปได้ในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นเป็นพวกไหนกันล่ะ นี่ผมก็พยายามใจเย็นที่สุดแล้วนะ พยายามไม่โกรธเรื่องที่คุณหนึ่งคิดแย่ๆ กับผมสุดๆ แล้วด้วย”
“ก็ได้ๆ หนึ่งล้มเลิกแผนพวกนั้นแล้ว”
พอถึงคราวได้มานั่งถกเถียงกับปฐวี น้ำหนึ่งถึงเพิ่งฉุกใจคิดว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมันช่างน่าสมเพชสิ้นดี ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพีรัชกับคุณแม่พูดกรอกหูอยู่ทุกวันถึงเรื่องที่ว่าปฐวีกำลังฉวยโอกาสหวังจะฮุบสมบัติจากคุณย่าจึงพยายามหาทางปัดเธอออกไปให้พ้นทาง ถ้าไม่ใช่ไปหลงเชื่อว่าปฐวีร่วมมือกับศัตรูคู่แค้นอย่างโชติรสมากลั่นแกล้งเธอ เธอก็คงไม่หน้ามืดตามัวยอมทำตามง่ายๆ
หรือไม่อย่างนั้นเธอก็อาจจะอยากเอาชนะเขาด้วยวิธีการโง่ๆ อย่างเช่นให้เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำหรือไม่ได้ทำก็ช่าง ถึงได้กล้าทำลงไป
“แล้วแผนที่ว่าจะมาทำให้ผมเดือดร้อนนั่นมันคืออะไรกันแน่ บอกผมหน่อยได้ไหม”
“จัดฉากว่าพี่วีลักพาตัวหนึ่งมาทำมิดีมิร้ายน่ะสิ”
“อะไรนะ!”
น้ำหนึ่งได้แต่กัดริมฝีปาก ไม่กล้าหันไปสบตากับปฐวีที่กำลังจ้องเธออย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“ผมเนี่ยนะ จะทำมิดีมิร้ายคุณหนึ่ง”
“แต่หนึ่งไม่รู้เลยว่าพี่พีทจะเล่นเลยเถิดไปถึงตำรวจ เราแค่ตกลงกันว่าจะพาคุณย่ามาดูให้เห็นกับตาว่าพี่วีกักขังหนึ่งเอาไว้ในบ้าน เพื่อ…เพื่อเรื่องอะไรอย่างนั้น”
น้ำหนึ่งจำได้ว่านอกจากตำรวจแล้วยังมีชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวอีกสองคนด้วย ความรู้สึกไม่ไว้วางใจทั้งหลายทำให้หญิงสาวตัดสินใจหนีออกมาจากบ้านโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้แต่โทรศัพท์มือถือ หรือกระเป๋าสตางค์
“ถ้าอย่างนั้น ไอ้หนุ่มคลั่งรักที่ผมเห็นในข่าวก็…”
หญิงสาวไม่ตอบ นอกจากน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บใจ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้เธอคิดได้อย่างเดียวว่าอาจจะถูกลูกพี่ลูกน้องอย่างพีรัชหลอกใช้
“ตอนนี้ชื่อเสียงหนึ่งคงป่นปี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว”
“แล้วผมล่ะ ป่านนี้คนเขาไม่คิดว่าผมมันเป็นไอ้โรคจิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วเหรอ ถ้าผมโดนคดีนี่เข้าคุกเห็นๆ เลยนะ”
ถึงแม้จะรับปากไปแล้ว แต่ปฐวีก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดีที่ถูกน้ำหนึ่งทำให้กลายเป็นไอ้โรคจิตไปโดยไม่รู้ตัว
“หนึ่งไม่รู้! ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว พอใจไหม!”
น้ำหนึ่งยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ทุกครั้งที่ปฐวีพาตัวเองออกห่างจากชีวิตของเธอไป มันก็มักจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนจิ๊กซอว์ส่วนสำคัญของชีวิตหลุดหายไป บ่อยครั้งที่น้ำหนึ่งรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวในโลก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะคิดจะทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด
น้ำหนึ่งเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่ผ่านมาเธอพึ่งพาปฐวีมากแค่ไหน และจนถึงตอนนี้ก็ยังอยากได้เขากลับคืนมาเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ภาพนั้นทำให้อารมณ์เดือดดาลของปฐวีจางหายไปในพริบตา พอชักจะทำอะไรไม่ถูกก็เลยเอื้อมมือไปจับบ่าหญิงสาวไว้แล้วบีบเบาๆ
“เอาเถอะ ไว้ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ ตอนนี้เราคงต้องรีบไปหาคุณย่าก่อน คุณหนึ่งอย่าร้องไห้เลยนะ”
ปฐวีตัดสินใจขับรถออกไปบนท้องถนนอีกครั้งท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังอ่อนจางลงทุกขณะ ระหว่างทางก็ได้แต่เหลือบมองน้ำหนึ่งนั่งร้องไห้กระซิกอยู่บนเบาะนั่งข้างๆ อย่างไม่รู้จะปลอบอย่างไรดี และบรรยากาศน่าอึดอัดเช่นนั้นก็ดำเนินต่อไปจวบจนฟ้ามืดสนิท…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.