‘พี่วี ห้ามหนีนะ กลับมาเดี๋ยวนี้!’
เด็กหญิงไว้ผมเปียสองข้างร้องเรียกไม่หยุดเมื่ออุตส่าห์ตามหาเพื่อนเล่นจนเจอ หลังจากเขาแอบไปนอนอ่านหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมจากคุณย่าโดยไม่ยอมให้เธอได้อ่านก่อน
เนื่องจากมัวแต่จดจ้องอยู่กับแผ่นหลังของเด็กชายที่วิ่งลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆ ระหว่างสวนกุหลาบขาวอย่างคล่องแคล่ว น้ำหนึ่งจึงโดนหนามเกี่ยวกระโปรงจนหกล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังสวบสาบของต้นกุหลาบที่ถูกดึงร่วงตามลงมา
‘โอ๊ย…’
เสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งนำอยู่ของเด็กชายชะงักลงในทันใด เมื่อเขาหันกลับไปมองก็พบว่าพุ่มกุหลาบสุดรักสุดหวงของคุณย่าล้มลงเป็นหย่อมใหญ่ ทั้งยังมีเสียงร้องไห้กระซิกๆ ของน้ำหนึ่งที่นั่งแปะอยู่ตรงนั้น
‘คุณหนึ่ง’
ปฐวีวิ่งย้อนกลับมาดูก็เห็นหัวเข่าของน้ำหนึ่งเป็นรอยถลอกและมีเลือดซึมออกมา ชุดกระโปรงสีฟ้าใหม่เอี่ยมของเธอยับยู่ยี่และเต็มไปด้วยเศษดินเศษหญ้า
‘เจ็บไหม ผมบอกแล้วไงว่าคุณหนึ่งวิ่งตามไม่ทันหรอก’
‘พี่วีไม่รอหนึ่งนี่นา’
น้ำหนึ่งปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น ทั้งแสบแผลที่หัวเข่า ทั้งนึกเสียดายชุดว่าเพิ่งใส่วันแรกก็ขาดเสียแล้ว
ครั้นเมื่อปฐวีเห็นว่าตอนนี้ต้นกุหลาบขาวของคุณย่าตกอยู่ในสภาพยับเยินไม่ต่างจากน้ำหนึ่ง เขาก็ถึงกับหน้าถอดสี จึงได้แต่ยืนนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
‘เป็นอะไรไปหนึ่ง ร้องลั่นไปถึงระเบียงตรงนั้นเลย’
คุณย่าบุษยากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมายังจุดเกิดเหตุ พอเห็นว่าเด็กสองคนเล่นซนกันขนาดไหนจากหลักฐานตรงหน้า ก็คิ้วขมวดเข้าหากันทันที น้ำหนึ่งเห็นดังนั้นจึงรีบเขยิบไปหลบหลังปฐวีพร้อมกับจับเสื้อเขาไว้แน่น เพราะรู้ดีว่าคุณย่าทั้งรักทั้งหวงต้นกุหลาบขาวในสวนตรงนี้แค่ไหน
‘ไหน มาอธิบายให้ย่าฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น’
เสียงสะอื้นฮักของเด็กหญิงทำให้ปฐวีตัดสินใจบอกไปว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้นกุหลาบของคุณย่าเสียหายเอง ถึงที่จริงมันเป็นเพราะน้ำหนึ่งวิ่งฝ่าตามเขามาไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่ถ้าเขายอมให้น้ำหนึ่งอ่านหนังสือเล่มนั้นก่อนแต่แรก เรื่องนี้ก็คงไม่เกิด
‘ผมจะช่วยตาจบปลูกใหม่ให้คุณย่าเองครับ แล้วก็จะดูแลจนกว่ามันออกดอกใหม่เป็นการชดเชย’
เมื่อเห็นเด็กชายยืดอกบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น หญิงชราก็ได้แต่มองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
‘เอาเถอะ ถ้าวีกล้าทำแล้วกล้ารับได้อย่างนี้’ คุณย่าบุษยาชะโงกหน้าไปมองน้ำหนึ่งเป็นพิเศษ ทว่าเด็กหญิงก็เอาแต่หลบอยู่หลังปฐวีเหมือนเดิม ‘ย่าก็จะไม่ลงโทษอะไร แต่วีต้องทำตามที่บอกจริงๆ ว่าจะดูแลมันจนกว่าจะออกดอก หนึ่งก็ด้วย’
พอได้ยินคุณย่าบอกว่าจะไม่ลงโทษ น้ำหนึ่งก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วยอมโผล่หน้าไปมองในที่สุด
‘หนึ่งเจ็บจังเลยค่ะ คุณย่าขา…หัวเข่าก็แสบไปหมด’
‘เจ็บแล้วก็ต้องรู้จักจำนะ ทีหลังอย่าซนอีก แล้วก็ต้องมาช่วยพี่เขาดูแลต้นกุหลาบให้ย่าทุกวันด้วย’
‘ค่ะ คุณย่า’ น้ำหนึ่งอ้อมแอ้มตอบ
แม้ช่วงเวลาตอนที่เธอและเขายังเป็นเด็กจะผ่านพ้นไปเนิ่นนานแล้ว ทว่าปฐวีก็ยังคงเป็นคนโปรดของคุณย่าไม่เคยเปลี่ยน เหมือนกับที่น้ำหนึ่งมักใช้เขาเป็นกันชนเมื่อทำผิดเสมอ
นี่เองกระมังที่เป็นสาเหตุทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นหลังของปฐวีมากกว่าอย่างอื่นทั้งหมด เพราะเธอมักจะหลบอยู่หลังเขาเมื่อเธอกำลังรู้สึกกลัวกับอะไรก็ตาม
ทว่าปฐวีก็ไม่อาจเป็นกันชนให้เธอไปได้ตลอด เมื่อมีเหตุให้น้ำหนึ่งต้องถูกส่งตัวกลับไปอยู่คฤหาสน์นาราภัทรอย่างถาวรตอนอายุสิบสี่ ไปเข้าโรงเรียนใหม่ ปรับตัวกับสถานที่ใหม่ๆ โดยไม่มีปฐวีเป็นที่พึ่งอีก มันอาจเป็นช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้เธอเริ่มหันมาสนใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง และสลัดคราบของลูกเป็ดน้อยออกไปอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้จะต้องห่างเหินกันไปเพราะอยู่คนละที่ แต่การได้เจอหน้าปฐวีที่บ้านคุณย่าบุษยาในทุกปิดเทอมก็มักจะทำให้เธอได้กลับไปสู่ความคุ้นเคยอย่างในวันวานเสมอ นั่นอาจเป็นเพราะไม่ว่าจะพบกันอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังคงเป็นปฐวีที่เธอรู้จักมาค่อนชีวิต
ด้วยความทรงจำมากมายเหล่านั้น…ในส่วนลึกสุดของหัวใจน้ำหนึ่งจึงยังคงมีเงาของปฐวีทาบทับอยู่เสมอ และไม่ว่าเธอจะอยากลบมันออกไปเพียงไรก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง
“เหมือนสมัยที่เรายังเป็นเด็กไง”
คำพูดของชายหนุ่มที่แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ยังจำเรื่องราวสมัยเด็กได้ ทำให้น้ำหนึ่งต้องหันไปมองในทันใด แต่แล้วความปลาบปลื้มทั้งหลายก็มีอันต้องสลายหายไปเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเขา
“ตอนนั้นผมต้องตกเป็นทาสของคุณหนึ่งอยู่ในบ้านคุณย่าซะหลายปีเลย”
“พี่จะพูดประโยคนี้แถมอีกทำไมเนี่ย กำลังจะดีอยู่แล้วเชียว”
ปฐวีกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง “อ้าว ก็ผมเล่นโดนคุณหนึ่งโขกสับซะขนาดนั้น ไม่ให้เรียกว่าทาสก็ใกล้เคียงล่ะครับ”
“เชอะ! ก็ใครใช้ให้พี่เป็นคนโปรดของคุณย่าล่ะ ไม่ว่าพี่วีจะทำอะไรคุณย่าก็เห็นว่าดีไปซะหมด”