LOVE
ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 5
บ้านก่ออิฐสองชั้นของอรรถใหญ่กว่าบ้านของปฐวีถึงสองเท่าแต่กลับมีอรรถอาศัยอยู่เพียงลำพัง นอกจากชายวัยกลางคนจะมีอาชีพเป็นนักเขียนเช่นเดียวกับคุณย่าบุษยาแล้ว เขายังเป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวคุณย่าบุษยาอีกต่างหาก จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของน้ำหนึ่งไปโดยปริยาย แต่เนื่องจากพ่อแม่ของอรรถเสียชีวิตไปหมดแล้ว ส่วนชีวิตแต่งงานก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า อรรถจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวเรื่อยมา
ข้อเสียใหญ่ๆ ของอรรถยังมีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขามักจะสมองแล่นชนิดเขียนงานได้เป็นวันเป็นคืนต่อเนื่องไม่มีหยุดเมื่อได้รับแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย ตอนนี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคพิษสุราเรื้อรังอย่างช่วยไม่ได้
“อาอรรถนี่ก็หัวดื้อเอาจริงๆ เลย แก่จนปูนนี้ยังไม่เลิกดื่มอีก นี่อย่าบอกนะคะว่าเมาแล้วเดินจากบ้านตัวเองไปจนเกือบถึงหน้าบ้านคุณย่าเลยน่ะ”
น้ำหนึ่งเปิดปากทันทีที่ยอบตัวลงนั่งบนชุดเก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลในห้องรับแขก พลางนิ่วหน้าเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งออกมาจากลมหายใจของเจ้าของบ้าน
ปฐวีเดินไปเปิดตู้เย็นเทน้ำใส่แก้วมาวางให้อรรถดื่มราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
“นั่นสิครับ ยังไงก็น่าจะห่วงสุขภาพตัวเองบ้าง”
อรรถเพียงแต่หัวเราะอย่างไม่เอาใจใส่ เมื่อหลายปีก่อนเขาเพิ่งประกาศกร้าวต่อหน้าผู้ห่วงใยรอบข้างว่าไม่เคยนึกเสียดายที่จะต้องแลกพรสวรรค์การเขียนหนังสือกับสุขภาพในบั้นปลายของชีวิต
“แล้ว…นึกยังงายมาที่นี่วันนี้พอดีล่า”
นักเขียนหนุ่มใหญ่เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องอื่นแทน ท่าทางระดับความเมาของเขาในวันนี้ยังไม่ถึงขั้นสุด จึงยังพูดจากันรู้เรื่องดีอยู่ ทว่าเสียงก็ยังไม่วายอ้อแอ้เหมือนคนเมาอยู่นั่นเอง
ปฐวีกับน้ำหนึ่งหันมองหน้ากันในทันใด โดยเฉพาะคนมีชนักติดหลังอย่างน้ำหนึ่งที่พยายามส่งสายตาโบ้ยให้ชายหนุ่มเป็นคนเปิดเรื่องก่อน
อรรถเสยผมที่แซมสลับด้วยผมหงอกเกือบครึ่งหัวออกไปให้พ้นใบหน้า “ตกลงครายจะเล่า”
“คุณหนึ่งนั่นแหละเล่า ผมไม่มีอะไรจะเล่าหรอก”
ปฐวีรีบพูดขึ้นก่อนอย่างเป็นต่อ แต่อันที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนัก
“ไหนใครเพิ่งบอกว่าจะช่วยพูดกับคุณย่าให้ ไม่ทันไรก็เอาตัวรอดไปก่อนเสียแล้ว”
“ผมไม่ได้บอกว่าจะเล่า ผมบอกว่าจะช่วยพูดเสริมให้เรื่องมันซอฟต์ลงเท่านั้นเอง แล้วนี่คนฟังก็เป็นอาอรรถไม่ใช่คุณย่า ยังไงก็ไม่ดุคุณหนึ่งอยู่แล้ว”
ปฐวีพูดได้ตรงเผงจนไม่มีใครกล้าแย้ง โดยเฉพาะเจ้าตัวอย่างอรรถ
นั่นเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าอรรถรักน้ำหนึ่งเหมือนเป็นลูกสาวของเขาคนหนึ่ง ซึ่งนอกจากเหตุผลเรื่องเป็นญาติกันแล้ว คุณย่าบุษยายังได้เล่าให้ปฐวีฟังเพิ่มเติมอีกอย่างว่าน้ำหนึ่งในวัยเด็กทำให้อรรถนึกถึงลูกสาวของตัวเองที่ไม่เคยมีโอกาสได้ดูแล
วันนั้น…คุณย่าบุษยาเริ่มต้นเล่าด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่าเรื่องน่าเศร้าที่มันเกิดขึ้นนี้ ถ้าจะมีใครสักคนผิดก็คงมีแต่อรรถคนเดียว เพราะตอนยังหนุ่มเขามุ่งมั่นกับการเป็นนักเขียนอย่างจริงจังจนไม่มีเวลาให้กับลูกและภรรยา ไหนจะดื่มเหล้าเกือบทุกวันอีกต่างหาก
สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหว ภรรยาก็ตัดสินใจขอหย่ากับอรรถ วันนั้นเองที่นักเขียนหนุ่มใหญ่ได้สำนึกว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป และแม้ว่าจะพยายามชดเชยเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ เพราะช่วงเวลาที่อรรถควรจะใช้สร้างความรักความผูกพันกับลูกสาวและภรรยาให้แน่นแฟ้นได้โบยบินจากไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่ความห่างเหินที่ไม่อาจขจัดมันออกไปได้เลย
อีกหลายปีต่อมาภรรยาของอรรถก็แต่งงานใหม่ มีครอบครัวที่อบอุ่นและลูกสาวของเขาเองก็ดูเข้ากันได้ดีกับพ่อเลี้ยงด้วย คุณย่าบุษยาบอกว่ายังจำได้แม่นถึงความดีใจของอรรถตอนลูกสาวมาเชิญไปร่วมงานแต่งงานด้วยตัวเอง
ถึงแม้ว่าลูกสาวของอรรถจะต้อนรับเป็นอย่างดีเมื่อเห็นพ่อบังเกิดเกล้าโผล่หน้าไปร่วมงาน ทว่าช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเติมเต็มก็ทำให้อรรถรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนนอกอย่างน่าเศร้า
เรียกได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ล้มเหลวในทุกๆ ด้านของชีวิต ยกเว้นก็แต่อาชีพนักเขียนเท่านั้น
ดังนั้นการที่อรรถได้เห็นน้ำหนึ่งในวัยเดียวกันกับลูกสาวก่อนที่เขาจะหย่ากับภรรยา จึงไปกระทบกับความรู้สึกอ่อนไหวในส่วนลึก ทำให้เขานึกเอ็นดูน้ำหนึ่งเป็นพิเศษในทันที อย่างน้อยถึงไม่ใช่ลูกสาวของเขาจริงๆ แต่มันก็ช่วยถมช่องโหว่ในใจไม่ให้กลวงโบ๋อย่างเก่าได้
ด้วยเหตุนี้อรรถจึงตามใจน้ำหนึ่งทุกอย่าง และมักจะฟังหญิงสาวมากกว่าใคร บางทีก็ทำให้ปฐวีนึกอิจฉาขึ้นมาว่าน้ำหนึ่งช่างโชคดีที่มีแต่คนรักเธออยู่รอบกาย ไหนจะคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอีก
“ว่าแต่ทำไมคุณหนึ่งถึงนึกจะมาหาคุณนายได้คะ แล้วยังมากับวีอีก”
ยวงแก้วอดถามไม่ได้ นึกแปลกใจอยู่แต่แรกแล้วที่เห็นทั้งสองคนนี้มาด้วยกัน เพราะตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เส้นทางชีวิตของน้ำหนึ่งและปฐวีก็ดูเหมือนจะแยกห่างออกจากกันไปเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นว่าจะกลับมาบรรจบกันอีกได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าอย่างไรก็คงไม่อาจบ่ายเบี่ยงต่อไปได้อีก น้ำหนึ่งก็ไหล่ลู่ลงก่อนจะเอ่ยปากเล่าเหมือนกันกับที่เคยเล่าให้ปฐวีฟังมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เสริมต่ออีกหน่อยว่า
“จริงๆ หนึ่งก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าเรื่องนี้มันออกจะทะแม่งๆ อยู่”
อยู่ๆ ปฐวีก็เกิดมีเสลดติดคอจนต้องกระแอมกระไอเสียงดัง แต่น้ำหนึ่งแน่ใจว่าชายหนุ่มต้องการจะกวนประสาทเธอมากกว่า จึงหันไปถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ
“อะไรกัน แค่ไอนิดไอหน่อยก็ไม่ได้” ปฐวีทำเป็นบ่น
“อย่ามายั่วโมโหได้ไหม”
“โอเคๆ รีบเล่าต่อเถอะ อาอรรถกับป้ายวงกำลังคอยอยู่”
น้ำหนึ่งก็ยังไม่วายทำเสียงฮึในลำคออีกสองสามครั้งก่อนจะยอมเล่าต่อว่า “อีกอย่างพี่พีทไม่ค่อยชอบหน้าพี่วีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่ได้แค่อยากให้คุณย่าเกลียดพี่วีแต่ต้องการมากกว่านั้น แล้วก็…”
เพราะลึกๆ แล้วเธออาจจะอยากได้เหตุผลอะไรสักอย่างเพื่อกลับเข้ามาในชีวิตของปฐวีอีกครั้ง ถึงแม้มันจะเป็นเหตุผลสิ้นคิดอย่างการมาทำลายความสุขของเขาก็ตาม
ก็ในเมื่อแต่ไหนแต่ไรมา เธอไม่เคยเป็นความสุขของเขาอยู่แล้ว เธอจะต้องไปใส่ใจกับเหตุผลพวกนั้นอีกทำไม!
“แล้วก็อะไรเหรอคะคุณหนึ่ง” ยวงแก้วถามเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งไป
“แล้วก็เพราะช่วงนี้พี่วีทำท่าจะส่อไปในทางไม่ซื่อ หนึ่งก็เลยยอมร่วมมือกับพี่พีทยังไงล่ะ”
น้ำหนึ่งตอบออกไปทั้งที่มันไม่ได้ใกล้เคียงกับเหตุผลแท้จริงสักนิด