ทว่าปฐวีก็ไม่อยากยอมรับว่าเพราะในวัยเด็กต้องตกเป็นเบี้ยล่างของอีกฝ่ายมาตลอด จึงมีอคติกับน้ำหนึ่งเป็นพิเศษ และวางเธอเอาไว้ให้เป็นแบบนั้นทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้
“เอางี้ ถ้าพี่ไม่สบายใจ หนึ่งจะออกไปดูลาดเลาเอง ถ้าเป็นโจรจริงหนึ่งจะรีบกลับมาส่งสัญญาณให้”
“จะบ้าเหรอคุณหนึ่ง ผมจะไปเอง” ปฐวีดึงแขนน้ำหนึ่งเอาไว้ก่อนจะโผล่หน้าพ้นออกไปจากพุ่มดอกกุหลาบที่กำลังซ่อนตัวอยู่
“แต่ถ้านั่นเป็นโจรจริงล่ะ เราจะทำยังไงกันดี” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มวิตกขึ้นมาจริงๆ
“ก็ช่างมันสิ ทรัพย์สมบัติมันไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคุณหนึ่งหรอกนะ แต่ผมว่าโอกาสจะเป็นโจรไม่มากหรอก เพราะโจรที่ไหนมันจะมาเปิดไฟบ้านที่จะปล้นกัน”
“จริงสิ ทำไมหนึ่งถึงคิดไม่ได้นะ”
ก็ไม่เห็นจะน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะยังไงก็มีแต่เรื่องที่คุณหนึ่งคิดไม่ได้เต็มไปหมดอยู่แล้ว…ปฐวีได้แต่พูดในใจโดยไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะยังไม่อยากให้ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านคุณย่าบุษยาได้ยินเสียงเอะอะจนเสียเรื่องหมด
“แล้วถ้าเกิดนั่นเป็นคุณพีทจริง ยังไงเราก็คงต้องคอยให้เขากลับไปก่อนอยู่ดี”
“นั่นสิ”
น้ำหนึ่งพึมพำตอบ ลึกๆ แล้วเธอเองก็รู้สึกไม่สนิทใจกับพีรัชมาตลอด แต่เพราะเห็นว่าแม่สนิทสนมกับแม่ของพีรัชดีจึงทำเป็นมองผ่านความรู้สึกนี้ไปเสีย หรือไม่เธอก็คงไม่อยากโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังในคฤหาสน์นาราภัทรอันใหญ่โต จึงพยายามทำตัวสนิทสนมกับคนในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้น
ใครต่อใครอาจพากันอิจฉาว่าน้ำหนึ่งมีชีวิตสวยหรูไม่ต่างจากเจ้าหญิง ทว่ากลับไม่มีใครเคยรู้เลยว่าเธอไม่ได้มีครอบครัวแสนสุขอย่างที่ควรจะเป็น เพราะผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรเงินตราอย่างคุณปู่มีภรรยามากกว่าหนึ่งคน มิหนำซ้ำพ่อของเธอก็ยังเจริญรอยตามอีก ถึงแม้จะไม่เคยเปิดเผยให้เธอและแม่ได้รู้เห็นอย่างเป็นตัวเป็นตนก็ตาม
เรื่องราวภายในเหล่านี้จึงเป็นเสมือนรอยตำหนิเล็กๆ อยู่ในใจของน้ำหนึ่งมาเนิ่นนาน
ถ้าเปรียบหัวใจของเธอเป็นกระจกแสนสวย รอยแตกนี้ก็คือตำหนิที่น้ำหนึ่งรู้สึกถึงการมีอยู่ของมันได้ตลอดเวลา ต่อให้เธอจะพยายามไม่สนใจมันอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้รอยแตกนั้นหายไปได้อยู่ดี
ผิดกับปฐวี เขาไม่ใช่คนในครอบครัว…เขาเป็นแค่ใครสักคนที่บังเอิญมีชะตาผูกพันกับคุณย่าด้วยความรู้สึกผิดต่อเรื่องในอดีตของท่าน แต่ผู้ชายคนนี้กลับสามารถจุดดวงไฟอันอบอุ่นขึ้นในใจเธอได้อย่างน่าประหลาด กระทั่งตอนนี้ไฟดวงนั้นก็ไม่เคยมอดดับ เพียงแต่ริบหรี่ลงไปตามระยะเวลาของความห่างเหินเท่านั้นเอง
เขาจึงเป็นเสมือนกระจกบานใหม่ที่เธอสามารถจ้องมองตัวเองได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้เห็นรอยตำหนิใดๆ แม้มันอาจไม่ได้ถูกตกแต่งให้สวยงามวิจิตรตระการตาก็ตามที
วินาทีนั้นน้ำหนึ่งเกือบจะบอกออกไปแล้วว่าตอนนี้เธอไม่กล้าเชื่อใจใครอีกแล้วนอกจากปฐวี ก็บังเอิญเห็นแสงไฟในห้องดับลงเสียก่อน
“ไฟดับแล้ว” ปฐวีพึมพำ ก่อนจะสอดสายตามองลอดผ่านพุ่มดอกกุหลาบขาวออกไปอย่างประเมินสถานการณ์ “จะเอายังไงต่อดี หรือจะกลับไปตั้งหลักกันก่อนแล้วค่อยมาใหม่”
“ไม่ หนึ่งอยากจะรู้ว่าใครมันแอบมาเข้าบ้านคุณย่าตอนนี้ หรือไม่ก็ต้องแน่ใจก่อนว่าใช่หรือไม่ใช่พี่พีท”
“งั้น…ลองเสี่ยงอ้อมไปดูหน้าบ้านกันดีไหม ให้มันรู้ดำรู้แดงรู้เหลืองรู้ขาวกันไปเลยดีกว่าว่าใครกันแน่” ปฐวีหันไปเสนอ
“ดำกับแดงก็พอ พี่นี่จริงๆ เลย เวลาแบบนี้ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก”
ปฐวีเพียงแต่ยิ้มแห้ง ก่อนจะย้ำถามอีกครั้งว่า “ตกลงเอาไง ไปดูเลยไหม”
“พี่จะไปจริงเหรอ ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นปอดแหกอยู่เลย”
“อ้าว จะเอายังไงแน่ พอผมจะไปก็ทำเป็นไม่แน่ใจ พอผมไม่ไปก็หาว่าผมปอดแหก”
“งั้นก็รีบไปเลย” น้ำหนึ่งตัดสินใจได้ในทันที
“คุณหนึ่งตามผมมาดีกว่า ผมจะนำไปเอง”
ปฐวีหันไปจับมือน้ำหนึ่งแล้วพาย่องออกไปจากพุ่มต้นกุหลาบด้วยกัน ท่าทางเขาจะมาเยี่ยมคุณย่าบุษยาบ่อยกว่าหญิงสาวอย่างเทียบกันไม่ติด จึงรู้ทางลัดใหม่ๆ ในสวนที่ลับตาคนและพาหญิงสาวเดินผ่านออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว คล้ายกับในวันวานเวลาที่เธอร้องไห้บังคับให้เปิดเผยที่ซ่อนลับซึ่งเขาเอาไว้ใช้หนีหน้าเธอ
แต่พอที่ลับหนึ่งถูกเปิดเผย ไม่นานปฐวีก็จะหาที่ใหม่ได้อีกเรื่อยไป ราวกับว่ามันเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของเขา
น้ำหนึ่งรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมาถึงหน้าบ้านและพบรถสปอร์ตสีดำราคาแพงลิ่วจอดเทียบอยู่
รถพี่พีทจริงๆ ด้วย!
“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าพี่พีทต้องตามมาถึงที่นี่แน่”
แหม…ก่อนหน้านี้ใครกันนะที่เพิ่งพูดว่าอย่าเอาพีรัชไปเทียบกับพวกสตอล์กเกอร์ ทีนี้เป็นไงล่ะ กลายเป็นผู้ร้ายตัวเอ้ไปเสียนี่
ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้เขากับน้ำหนึ่งก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะให้พูดแบบนั้นออกไปเพื่อความสะใจก็กระไรอยู่ นี่ถ้าแม่ที่อยู่บนสวรรค์เกิดมาได้ยินความคิดนี้ของเขาเข้าคงต้องต่อว่ากลับมาในฝันยกใหญ่แน่ๆ
“ต้องตามมาถึงบ้านคุณย่าเชียว แถมยังเป็นวันที่คุณย่าไม่อยู่บ้านอีกต่างหาก นี่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะเป็นแค่แผนอยากจะกลั่นแกล้งผมอย่างเดียว ถึงจะแกล้งแรงขนาดจะให้ติดคุกติดตะรางก็เถอะ”
“นั่นสิ…” น้ำหนึ่งกัดริมฝีปากล่างอย่างครุ่นคิด แต่ไม่นานก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อนเมื่อเห็นประตูหน้าบ้านกำลังถูกเหวี่ยงเปิดออก
“พากันออกมาแล้ว…”
น้ำหนึ่งหันไปเขย่ามือที่ยังจับกับปฐวีเอาไว้แน่น