บทที่ 3
เนี่ยชิงหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองสีหน้าเย็นชาเข้มงวดของเว่ยเหลิ่งเหยาปราดหนึ่ง นางลังเลอยู่ชั่วขณะ พยายามประเมินความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนตอบอย่างระมัดระวังว่า “เราสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก เลยเข้าเรียนล่าช้าอยู่บ้างเมื่อเทียบกับเสด็จพี่คนอื่นๆ ตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็เคยตำหนิเราอยู่เนืองๆ ว่าประพฤติไม่เหมาะสมต่อผู้อื่น หากเรากระทำการสิ่งใดที่เป็นการเสียมารยาทลงไป ขอเว่ยโหวได้โปรดชี้แนะด้วยโดยไม่ต้องคำนึงถึงมารยาทระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง ต่อไปเราจะใส่ใจและระมัดระวังให้มากขึ้น”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดเสียงเด็กหนุ่มซึ่งออกจะแหบแห้งกลับเจือด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวานแบบเด็กๆ เขาพูดด้วยสำเนียงของคนเมืองหลวงที่ฟังแล้วติดจะแข็งๆ อยู่สักหน่อยก็จริง แต่พอพูดไปเรื่อยๆ กลับมีสำเนียงพูดภาษาถิ่นอู๋ อันนุ่มนวลอ่อนหวานแถบเจียงหนาน เจืออยู่ในถ้อยคำพวกนั้นด้วย เมื่อมากระทบโสตประสาทแล้วก็รู้สึกเสนาะหูไปชั่วครู่หนึ่ง
เว่ยเหลิ่งเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ราชสกุลเนี่ยมักให้กำเนิดเพียงบุรุษรูปร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร ตัวอย่างเช่นฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่มีคิ้วดก หนวดเคราหนาครึ้ม รูปร่างล่ำสันบึกบึน ทว่ารูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทางขององค์ชายสิบสี่กลับละม้ายคล้ายคลึงกับลี่ผินซึ่งมาจากทางเจียงหนานเสียนี่ กอปรกับร่างกายปวกเปียกเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องของความเป็นบุรุษเพศ อีกทั้งลูกกระเดือกก็ไม่ยื่นออกมาให้เห็นเด่นชัด ลำพังเพียงฟังเสียงอันเป็นเอกลักษณ์นี้ก็แยกไม่ออกแล้วว่าเป็นชายหรือหญิง
เดิมทีคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เกรงว่าให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้อาจสร้างปัญหาในภายภาคหน้าได้ ท้ายที่สุดเจตนาสังหารที่เพิ่งเกิดขึ้นของราชครูเว่ยก็ดับมอดลงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนนี้
ด้วยลักษณะคลุมเครือจะหญิงก็มิใช่จะชายก็ไม่เชิงเช่นนี้ ต่อให้ผลักดันเขาขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดก็คงเป็นเรื่องยากที่จะครองใจอาณาประชาราษฎร์ได้
ครั้นคิดดังนี้เว่ยเหลิ่งเหยาก็คร้านจะเสียเวลาสนทนาเรื่องเหลวไหลกับเจ้าเด็กไร้ค่าที่ต้องตายอยู่วันยังค่ำผู้นี้อีกต่อไป เขานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนรถม้าโอ่โถงในขบวนเสด็จพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ท่าทีครุ่นคิดลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เนี่ยชิงหลินขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้า หลังทบทวนความเคร่งเครียดของตนเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าดูไม่สมจริงมาก จึงขดตัวแน่นยิ่งขึ้นไปอีก แสดงท่าทีประหนึ่งน้อมรับการสั่งสอนออกมาให้เห็น
เป็นดังคาด หลังจากแสดงท่าทางระมัดระวังตัวอย่างยิ่งยวด พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นเต็มที่
โดยปกติหลังจากประกอบพิธีเซ่นไหว้แล้ว ขุนนางทั้งหลายมักนำอาหารและเนื้อสัตว์ในพิธีเซ่นไหว้มาแบ่งปันกันอย่างกระตือรือร้นเพื่อเอากลับบ้านไป
การแบ่งปันอาหารและร่วมถวายพระพรต่อราชวงศ์ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเสมอหลังจากการสักการะเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ขุนนางคนโปรดคนใดที่โชคดีกำลังจะมาเยือน ขุนนางคนใดที่กำลังตกต่ำ ขอเพียงมองดูขนาดของชิ้นเนื้อและจำนวนขนมในกล่องอาหารเพียงปราดเดียวก็ประจักษ์แล้ว
ทว่าวันนี้ขุนนางทั้งหลายเหล่านี้พอเสร็จจากการร่วมพิธีอย่างเป็นทางการแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับผึ้งแตกรัง
น้ำหมึกบนภาพวาดของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่สวรรคตไปอย่างน่าอเนจอนาถยังไม่ทันแห้งดีเลยด้วยซ้ำ! เครื่องเซ่นไหว้บูชาที่วางอยู่เบื้องหน้าภาพวาดของอัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคืองของผู้คน ชะรอยว่าการกินอาหารพวกนั้นเข้าไปคงไม่นำมาซึ่งพรอำนวยชัยใดๆ เป็นแน่แท้ รังแต่จะนำมาซึ่งโชคร้ายไปตลอดครึ่งชีวิตที่เหลืออย่างช่วยไม่ได้ต่างหาก
กระนั้นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับไม่สนใจเรื่องภูตผีเทพเจ้า เอาแต่จับตาดูเนื้อย่างสีแดงสดมันวาวชิ้นนั้นตั้งนานแล้ว ทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีฮ่องเต้ก็สั่งให้ขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายหยิบเนื้อที่ปรุงสุกร้อนๆ และอาหารจานร้อนปรุงใหม่นำกลับไปยังตำหนักบรรทมด้วย
ต้องรู้ด้วยว่าช่วงไม่กี่วันมานี้อาหารของฮ่องเต้พระองค์ใหม่นี้ค่อนข้างจืดชืดออกไปทางอาหารมังสวิรัติอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าพวกคนครัวในห้องเครื่องต่างไว้ทุกข์ให้กับฮ่องเต้พระองค์ก่อนหรืออย่างไร รสชาติอาหารถึงทำออกมาไม่ได้เรื่อง ปรุงสุกไม่ทั่วถึง หลังจากกินไปหลายมื้อติดต่อกัน กว่านางจะคีบเจอเนื้อสัตว์สักชิ้นในจานผักสดก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ต้องค่อยๆ ละเลียดเคี้ยวอย่างอดทนถึงสามารถกลืนลงคอจนหมดเกลี้ยงได้ในเพียงชั่วไม่กี่อึดใจ
เนี่ยชิงหลินทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง ฮ่องเต้พระองค์นี้ปลอดโปร่งโล่งใจสู้องค์ชายที่ถูกละเลยในตอนแรกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ