บทที่ 5
หลังจากส่งเว่ยเหลิ่งเหยาออกไปแล้ว เนี่ยชิงหลินถึงได้ยืนพิงกรอบประตูพลางระบายลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก
อันเฉี่ยวเอ๋อร์รีบเดินไปหยิบเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออกมาสวมให้เจ้านายตัวน้อย ด้วยกังวลว่านางสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นมายืนตากลมเช่นนี้จะจับไข้ไม่สบายเอาได้ง่าย
พอกลับเข้ามายังห้องชั้นในและเหลือกันเพียงสองคนแล้วนั้น อันเฉี่ยวเอ๋อร์จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เขาโมโหอะไรมาถึงได้วิ่งมาระบายโทสะถึงที่นี่”
เนี่ยชิงหลินส่ายศีรษะแล้วจ้องมองหิมะสีขาวนอกหน้าต่าง พอออกจากภวังค์นางก็หันกลับมาถามทันทีว่า “เมื่อเร็วๆ นี้มีคนนอกตำหนักบรรทมติดต่อเจ้าบ้างหรือไม่”
อันเฉี่ยวเอ๋อร์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดอย่างลังเล “น่าจะ…ไม่มีกระมังเพคะ”
ทว่าความลังเลของอีกฝ่ายกลับไม่รอดพ้นสายตาของเนี่ยชิงหลินไปได้ ฮ่องเต้น้อยถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วพูดต่อ “ตอนนี้คนที่ปรารถนาให้ฮ่องเต้ล้มป่วยมากที่สุดไม่ใช่ท่านราชครูหรอก แต่เป็นพวกท่านอาของข้าต่างหาก เจ้าก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น จะพูดอะไรก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว ไม่ว่าผู้อี่นให้ของอะไรแก่เจ้าก็ห้ามรับไว้ ด้ายเส้นเดียวก็ไม่ได้! มิเช่นนั้นทั้งเจ้าและข้าคงได้ตายโดยไร้ที่กลบฝังเป็นแน่”
อันเฉี่ยวเอ๋อร์หน้าแดงทันที นางรีบคุกเข่าลงโดยพลัน “ฝ่าบาทโปรดทรงยกโทษให้ด้วยเพคะ คือ…คือว่า…ตอนที่หม่อมฉันรับฉลองพระองค์กันหนาวตัวนั้นมา หม่อมฉันได้พูดคุยสัพเพเหระกับอู๋ขุยทหารองครักษ์ที่เฝ้าตำหนักก่วงเอินของพวกเราด้านนอก ต่อไปหม่อมฉันไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้วเพคะ!”
ถึงแม้เนี่ยชิงหลินอายุยังน้อย แต่ยามปกติก็ได้อ่านนิยายเกี่ยวกับยอดบุรุษกับโฉมงามมาไม่น้อย การที่นางกำนัลในวังกับทหารองครักษ์จะมีใจให้กันก็มีจำนวนไม่น้อย อันเฉี่ยวเอ๋อร์ผู้นี้มีอายุสามสิบปีแล้ว จะมีอารมณ์รักๆ ใคร่ๆ ระหว่างหนุ่มสาวก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนัก
เนี่ยชิงหลินไม่ถามอะไรเพิ่มอีก กลับยื่นมือไปประคองอันเฉี่ยวเอ๋อร์ขึ้นมา “ลำบากเจ้าแล้วที่ต้องมาติดตามฮ่องเต้ไร้ประโยชน์อย่างข้า หากเจ้าอยู่กับเจ้านายที่มีความสามารถคงได้แต่งงานกับคู่ครองที่ดี ได้ออกจากวังไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว ไม่ต้องมาสูญเสียช่วงเวลาวัยเยาว์ภายในวังอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้”
คำพูดดังกล่าวทำอันเฉี่ยวเอ๋อร์ขอบตาแดงเรื่อทันที นางได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสเช่นนี้มิเป็นการฆ่าหม่อมฉันให้ตายหรืออย่างไรเพคะ ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงเหมือนถูกจับย่างบนกองไฟอันร้อนระอุนี่อยู่ ในวังใหญ่โตแห่งนี้จะพึ่งพาใครก็ไม่ได้ ต่อให้ฝ่าบาททรงทุบตีหม่อมฉันให้ตาย หม่อมฉันก็ไม่มีความคิดที่จะละทิ้งพระองค์ไปเลยนะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ!”
เนี่ยชิงหลินจะไม่รู้ถึงความจงรักภักดีของอันเฉี่ยวเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน หลังพูดปลอบใจอยู่สักพักจนฮ่องเต้น้อยสบายใจขึ้นแล้ว สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองนายบ่าวก็คลี่คลายลงได้ในที่สุด
ขณะที่อันเฉี่ยวเอ๋อร์เก็บกวาดข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น นางก็คอยสังเกตเจ้านายของตนไปด้วยพร้อมรู้สึกขมขื่นในใจ หากลี่ผินไม่ก้าวเดินผิดตั้งแต่แรกจะดีสักเพียงใด องค์หญิงในวัยสิบห้าที่กำลังเป็นสาวสะคราญคงจะได้หมั้นหมายแต่งงานกับคู่ครองที่เหมาะสมกันแล้ว หากนางได้สามีที่ซื่อสัตย์มีเมตตากรุณา ไม่แน่อาจอยู่ห่างจากการแย่งชิงอำนาจภายในวังหลวงนี้ก็ได้ ไหนเลยจะประสบเภทภัยเฉกเช่นทุกวันนี้เล่า! เฮ้อ ชะตากรรมของข้าและผู้เป็นนายล้วนถูกลิขิตไว้แล้วกระมัง ชาตินี้คงไร้วาสนาได้แต่งงานแล้วสินะ!