ครั้นคิดดังนี้นางจึงเข้าไปทักทายเขาด้วยรอยยิ้มขวยเขิน และเป็นฝ่ายปลดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกของท่านเว่ยโหวออกเองโดยไม่ต้องให้นางกำนัลมาปรนนิบัติรับใช้ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้างนอกอากาศหนาวเย็น ขอเชิญท่านราชครูเข้ามาพักผ่อนในห้องอุ่น ก่อนเถิด”
นางพูดพลางเดินนำท่านราชครูเข้าไปในห้องด้านใน ก่อนรับถ้วยชาที่นางกำนัลด้านข้างถือมาประคองไว้ แล้วยื่นไปตรงหน้าท่านราชครูด้วยตนเอง ราชครูเว่ยรับถ้วยชามาจิบชาหลูซานอวิ๋นอู้** ชั้นดีไปคำหนึ่ง
ราชครูเว่ยกลับกังขาอยู่ในใจ เขาไม่ชอบรสขมมาแต่ไหนแต่ไร แรกเริ่มเดิมทีที่ได้รู้จักกับสตรีนางนี้เขาเพียงทำทีคล้อยตามความชอบของนางไปอย่างนั้นเอง จึงสั่งชาหลูซานอวิ๋นอู้นี้ทุกครั้งไป คิดดูแล้วซั่งอวิ๋นชูคงนึกว่าเขาก็ชอบรสชาตินี้เช่นกัน
เขาเพียงจิบไปคำหนึ่งแล้ววางถ้วยชาลง จากนั้นก็ชายตามองหญิงสาวที่เดินมาประชิดตัวเขาอีกครั้ง กลิ่นฉุนของแป้งชาดฟุ้งลอยมาแตะจมูก ถึงแม้ใบหน้านั้นยังคงความอ่อนเยาว์อยู่ ทว่ากลับสูญเสียความสดใสสง่างามที่เคยมีในตอนนั้นไปตั้งนานแล้ว
“หักกิ่งหลิวทั้งป่าด้วยมือเปล่า เสียงขลุ่ยเคล้านับพันมิอาจถอน…เว่ยหลาง ตอนนั้นที่ท่านไปทำภารกิจที่ชายแดนแล้วทิ้งข้าไว้ตามลำพัง ข้า…ทุกข์ทรมานยิ่งนัก!” พูดจบน้ำตาก็ไหลพรากลงมาไม่ขาดสาย
เว่ยเหลิ่งเหยาอดขมวดคิ้วไม่ได้ กลอนบทนี้เป็นกลอนที่เขียนอยู่ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่ซั่งอวิ๋นชูส่งมาหลังจากเขาทำภารกิจที่ชายแดนแล้ว ในจดหมายไม่กล่าวถึงเรื่องที่มารดานางบังคับให้นางเข้าวังเลยด้วยซ้ำ แต่ชั่วเวลาต่อมานางก็เข้าวังไปแล้ว
เขาในตอนนั้นค่อนข้างเยาว์วัย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าความงามที่แท้จริงและการมีความรู้ความสามารถของสตรีนั้นมีประโยชน์อย่างไร ตอนอยู่ในราชสำนักเขาก็เหนื่อยแทบตายแล้ว ยังต้องมาร่ายกลอนคู่ต่อกับสาวงามอีกหรือไรกัน เช่นเดียวกับตอนนี้เขายุ่งมาตลอดทั้งครึ่งเช้าแล้ว สิ่งที่ต้องการไม่มีอะไรมากไปกว่าน้ำแกงรสเลิศและคำพูดจาออดอ้อนนุ่มนวลไพเราะเสนาะหูก็เท่านั้น ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปปลอบโยนหญิงงามเจ้าน้ำตาได้เล่า
สตรีผู้นี้คงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอะไรมากมายในวัง ความสามารถในการอ่านสีหน้า แววตาคน และการปรนนิบัติเอาใจจึงยังสู้ฮ่องเต้ที่ชมชอบตัดแขนเสื้อผู้นั้นไม่ได้ มิน่าเล่า เป็นที่รักใคร่เสน่หาของฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็สูญเสียความโปรดปรานไปเสียแล้ว!
เขารู้สึกเอือมระอานางขึ้นมาเสียแล้ว อารมณ์กำหนัดเล็กน้อยที่เดิมทีถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์สุราก็พลอยมลายหายไปหมดสิ้น
ถึงแม้นางกับซั่งหนิงเซวียนรองเสนาบดีกรมทหารไม่ได้ถือกำเนิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของจวนสกุลซั่ง เขายังต้องไว้หน้ารักษาความสัมพันธ์ไว้บ้าง หากจะฉกฉวยเอาความสุขเพียงชั่วครู่ชั่วยามแต่สลัดความยุ่งยากที่จะตามมาในภายหลังไม่ได้ก็ออกจะได้ไม่คุ้มเสียอยู่สักหน่อย หญิงงามผู้นี้ต่อให้พราวเสน่ห์เพียงใดก็เป็นคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเชยชมไปแล้ว ทันทีที่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเว่ยเหลิ่งเหยาก็หมดความสนใจลงไปถนัดใจ
ครั้นคิดดังนี้ราชครูเว่ยผู้มีสีหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิจก็กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง เขาผลักหญิงงามที่โผเข้ามาในอ้อมแขนออกไปพลางเอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมได้รับการไหว้วานจากท่านรองเสนาบดีซั่งให้มาดูพระชายาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ ได้เห็นว่าพระวรกายของพระชายาแข็งแรงดี กระหม่อมก็โล่งใจแล้ว กระหม่อมยังมีงานในส่วนหน้าที่ต้องสะสางอีก ไม่ขอรั้งอยู่ต่อในตำหนักในนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบราชครูเว่ยก็ลุกขึ้นสาวเท้าก้าวใหญ่ๆ เดินออกจากห้องอุ่นไปโดยคร้านจะสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ด้วยซ้ำ