บทที่ 10
ท่านราชครูออกคำสั่ง มีเหตุผลอันใดที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นหรือ
เนี่ยชิงหลินหั่นเนื้อกวางชิ้นใหญ่ที่มันเลี่ยนออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ ก่อนจะกลืนมันลงไป นางเพียงรู้สึกเข็ดขยาดอาหารโอชะจานนี้ไปชั่วชีวิตแล้วจริงๆ
ราชครูเว่ยมองคนที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้ที่ทำท่าพะอืดพะอมฝืนกินเนื้อกวางแสนอร่อยนั่นอยู่ ขณะที่เขากำลังจะพูดอบรมสั่งสอน จู่ๆ สายตาก็สังเกตเห็นริมฝีปากสีแดงสดของฮ่องเต้น้อยเคลือบไปด้วยน้ำมันจากเนื้อกวาง ยิ่งทำให้ดูฉ่ำเยิ้มมันวาวกว่าปกติ ตัดกับใบหน้าเรียวเล็กขาวผ่องราวกับหิมะ สอดรับกับนัยน์ตาที่ดูมีชีวิตชีวา…
เขาหรี่ตาหงส์แล้วอดมองแล้วมองอีกไม่ได้พลางค่อนขอดอย่างเย็นชาอยู่ในใจ เป็นเด็กชายก็ควรดูเข้มแข็งห้าวหาญเสียหน่อย แต่กลับนุ่มนวลเช่นนี้ไปเสียได้ ต่อให้เป็นพวกที่ชมชอบบุรุษด้วยกัน แต่ก็เป็นแค่คนนุ่มนิ่มที่อยู่ใต้ร่างผู้อื่นอยู่ดี! บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของต้าเว่ยต้องเป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่งถึงขั้นใดกัน! ถึงได้ให้กำเนิดลูกหลานที่ผิดเพศเช่นนี้ออกมาได้ ช่างเป็นสัญญาณแสดงถึงความเสื่อมถอยโดยแท้…
ครั้นคิดเช่นนี้ในใจ จู่ๆ เขาก็เกิดนึกอยากเย้าแหย่เด็กหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาทันที หลังจากที่เจ้าไข่มุกมังกรผู้ไม่ได้ดั่งใจนี้ฝืนกลืนเนื้อชิ้นนั้นลงไปได้ในที่สุด ท่านราชครูก็คีบเนื้อที่ติดมันมากกว่าชิ้นแรกขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งแล้วค่อยๆ วางลงไปในชามกระเบื้องที่เพิ่งว่างเปล่า
เนี่ยชิงหลินรู้สึกได้ถึงความเลี่ยนท่วมท้นขึ้นมาในกระเพาะของตน จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้ขุนนางเว่ยทั้งที่กำลังประหลาดใจที่ได้รับความเมตตาจากอีกฝ่าย จากนั้นก็จ้องมองไปยังสิ่งที่อยู่ในชามด้วยความเคารพเต็มเปี่ยมพลางคิดในใจ แยบยลมาก! หากเขาคีบเพิ่มให้อีกสองสามชิ้นล่ะก็ ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพที่เฉลียวฉลาดที่สุดของราชวงศ์ต้าเว่ย พอตรวจดูศพแล้วก็ต้องวินิจฉัยว่า…ที่ฮ่องเต้พระองค์นี้สวรรคตก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ!
เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนที่อดอยากหิวโหยทั่วใต้หล้าต้องพากันชี้นิ้วมาที่เมืองหลวงพร้อมก่นด่าว่า ‘ฮ่องเต้สุนัข! พวกเราหิวโหย แต่เจ้ากลับกินจนท้องแตกตายเสียได้!’ เป็นแน่แท้
แต่ในเมื่อเป็นของที่ท่านราชครูมอบให้ ต่อให้เป็นเนื้อหมักสุราพิษนางก็ยังต้องกลืนเข้าไปห้ามคายทิ้งเป็นอันขาด!
เพียงแต่การกินเนื้อติดมันชิ้นนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก พอเนี่ยชิงหลินกลืนคำสุดท้ายลงไปได้ ราชครูเว่ยก็กินอาหารเสร็จแล้ว
เนี่ยชิงหลินปรายตามองราชครูเว่ยที่วางตะเกียบลงบนที่วางตะเกียบเนื้อหยกแล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แต่พอเงยหน้ามองขึ้นไปกลับพบว่าใบหน้าที่ทำคนตกตะลึงไปทั่วตำหนักทั้งหกของราชครูเว่ยนั้นกำลังมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม…
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชครูเว่ยก็ลุกขึ้นจากไปสะสางงานราชสำนักต่อ
พอกล่าวอำลาส่งผู้มีอำนาจของแคว้นออกไปด้วยความเคารพนอบน้อมแล้ว เนี่ยชิงหลินก็เอามือกุมท้องพลางโบกมือเรียกอันเฉี่ยวเอ๋อร์ให้เข้ามา
อันเฉี่ยวเอ๋อร์จะไม่รู้ถึงอาการป่วยเรื้อรังของเจ้านายตัวน้อยได้อย่างไร ลี่ผินก็ใจร้ายเหลือเกินที่ขอให้เจ้านายตัวน้อยลดปริมาณอาหารที่กินลง สาเหตุของอาการเจ็บป่วยเรื้อรังนี้ก็เกิดจากการกินไม่อิ่มมาตั้งแต่เด็ก พอปวดกระเพาะอาหารขึ้นมา เจ้านายตัวน้อยของนางก็จะเจ็บปวดมากจนถึงกับนอนกลิ้งไปมาทั่วเตียงเลยทีเดียว!
นางช่วยประคองเจ้านายตัวน้อยไปนอนบนเตียงมังกรอย่างระมัดระวัง
เนี่ยชิงหลินกุมท้องของตนที่เหมือนจะแตกออกอยู่รอมร่อพร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรงว่า “ข้าปวดกระเพาะจะแย่อยู่แล้ว เจ้าไปตามหมอหลวงจางที่สำนักแพทย์หลวงมาที!”
ที่เนี่ยชิงหลินเจาะจงเรียกหมอหลวงจางผู้นี้ก็ด้วยเหตุผลบางอย่าง
คนกินอาหารแล้วเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ แต่หากนางซึ่งมีร่างกายเป็นหญิงถูกหมอหลวงที่มีฝีมือการรักษายอดเยี่ยมจับชีพจรตรวจอาการแล้วความจริงถูกเปิดเผยขึ้นมาล่ะก็ นั่นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่!