นางคิดอยู่ในใจเช่นนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ ว่า “ต้องมาตรวจรักษาและสั่งจ่ายยาให้เชื้อพระวงศ์ หมอหลวงจางไม่กลัวบ้างเลยหรือ”
จางซื่ออวี้รีบคุกเข่าลงพลางตอบ “เดิมทีกระหม่อมก็เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างถนน โชคดีที่บิดาบุญธรรมเมตตาสงสาร ไม่ให้กระหม่อมต้องหนาวตายอยู่ข้างถนน กระหม่อมสมควรกตัญญูรู้คุณเลี้ยงดูบิดาบุญธรรมเป็นการตอบแทนอย่างสุดกำลังความสามารถ ทว่าจนใจที่บิดาบุญธรรมได้จากไปแล้ว กระหม่อมกลายเป็นเด็กกำพร้าที่โดดเดี่ยวอีกครั้ง จึงได้แต่ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านพ่อ ปกป้องคุ้มครองฝ่าบาทให้ทรงปลอดภัย ต่อให้ต้องสละชีวิตก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำพ่ะย่ะค่ะ”
เนี่ยชิงหลินรู้สึกอบอุ่นใจทันที พ่อลูกแซ่จางคู่นี้ช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดียอมมอบกายถวายชีวิตจริงๆ! ครั้นมองดูจางซื่ออวี้ผู้นี้อีกครั้งนางก็รู้สึกถูกชะตาเขามากขึ้นอีกหลายส่วน
หลังจากทูลลาฮ่องเต้แล้ว ยามหมอหลวงจางออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ จิตใจของเขายังคงงุนงงเล็กน้อย
ถึงแม้ฮ่องเต้ยังเยาว์วัย แต่ช่วงคิ้วและนัยน์ตาสวยได้รูปนั้นช่างเหมือนกับดอกบัวตูมที่รอเวลาเบ่งบาน แม้ความงามยังไม่เปิดเผยให้เห็นเต็มที่ ทว่ากลิ่นหอมจรุงใจที่ชวนให้ผู้คนหลงใหลก็ดูเหมือนจะล้นออกมาแล้ว
หากรูปโฉมที่โดดเด่นเช่นนี้เจริญวัยเต็มที่จะแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูเหมือนบุรุษอกสามศอกได้อย่างไรกันเล่า!
เขาอดกังวลแทนฮ่องเต้ไม่ได้จริงๆ จางซื่ออวี้คลึงๆ ปลายนิ้วที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นหอมและความรู้สึกชาซาบซ่านอยู่ เขาเดินไปพลางดื่มด่ำกับทุกอิริยาบถและรอยยิ้มของฮ่องเต้น้อยเมื่อครู่นี้
อนิจจา บนโลกนี้มีคนติดกับความลุ่มหลงเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว…
ราชครูเว่ยกว่าจะจัดการงานบ้านเมืองอันหนักอึ้งจนเสร็จสิ้นนั้นก็เป็นเวลาเย็นพอดี
เมื่อตัดสินใจที่จะเชือดไก่ให้ลิงดู เขย่ารังเก่าของผิงซีอ๋องเพื่อข่มขวัญบรรดาขุนนางผู้มีอำนาจของแต่ละสายแล้ว เขาย่อมต้องตระเตรียมกำลังทหารและกำลังคนให้พร้อมสรรพเป็นธรรมดา เขาจึงจัดงานเลี้ยงให้กับเหล่าแม่ทัพที่มีความสามารถทุกคนในจวนราชครูของเขา ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายในสนามรบกับเขาทั้งสิ้น
ราชครูเว่ยสลัดท่วงท่าสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ในยามปกติของตนทิ้งไป แล้วดื่มสุราจอกใหญ่ไปหลายจอกอย่างถึงไหนถึงกันแทน
เหล่าขุนศึกนักรบกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันร่วมชนจอกร่ำสุราอย่างสนุกสนานครึกครื้น พอดื่มจนเมาได้ที่ จู่ๆ หลี่ว์อวี้ต๋าผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของราชครูเว่ยคนหนึ่งก็เสนอขึ้นว่า “ข้าได้ม้าเหงื่อโลหิตสิบกว่าตัวมาจากซีอวี้ มิสู้คืนนี้มาดวลฝีมือทดสอบฝีเท้าม้าแข่งกันสักครั้งดีหรือไม่ ผู้ชนะก็ได้ม้าไป ส่วนผู้แพ้ต้องกลับจวนไปรับโทษด้วยสุราเก่าหลายไห”
ทันทีที่ความคิดนี้ถูกเสนอออกมา เสียงโห่ร้องตอบรับอย่างเป็นเอกฉันท์จากคนเมากลุ่มนี้ก็ดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน เว่ยเหลิ่งเหยาอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ในเมืองหลวงมานานมากแล้ว เขาเหนื่อยหน่ายอย่างมากกับการถกเถียงหารือร่วมกับกลุ่มขุนนางเก่ามาตลอดทั้งวัน ถึงอย่างไรในเมืองหลวงก็มีกฎห้ามชาวบ้านออกจากที่พักในยามค่ำคืนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นถนนใหญ่หรือตามตรอกก็ล้วนว่างโล่งเหมาะแก่การแข่งม้าพอดี เขาจึงยิ้มพลางตอบตกลง
คนกลุ่มหนึ่งพากันเดินมาถึงเพิงม้า พอเลือกม้าที่ตนถูกใจได้แล้วก็พลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า แต่ละคนมีองครักษ์ติดตามไปด้วยอีกสองสามคน พุ่งทะยานออกจากจวนราชครูเว่ยราวกับพายุหมุนก็ไม่ปาน
เว่ยเหลิ่งเหยาขี่ม้าชั้นดีสีแดงอมน้ำตาลไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ม้าที่มีชื่อเสียงจากซีอวี้ตัวนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ พอขึ้นควบขี่มันก็วิ่งทะยานประหนึ่งเหินฟ้าถลาลม รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
เสียงกีบม้าวิ่งตะลุยกุบกับๆ เสียงโห่ร้องของคนผสานกับเสียงกู่ร้องของม้าดังสะท้อนก้องกังวานสอดรับกันอย่างไม่ขาดสายท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ