เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการแต่ละแห่ง รวมถึงเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลายในจวนกลับตื่นตระหนกจนนอนไม่หลับกันไปหมด พากันปิดประตูอย่างแน่นหนาพร้อมกับเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวบนถนนสายยาวที่อยู่นอกที่พักของตนด้วยความหวาดผวา หวาดระแวงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกแล้วหรือไม่
จวบจนขบวนม้าวิ่งมาถึงหน้าประตูวังก็เห็นหยวนกงกงยืนอยู่หน้าประตูชะเง้อคอมองอยู่แต่ไกล
เว่ยเหลิ่งเหยาซึ่งขี่ม้านำอยู่หน้าสุดควบม้าเข้าไปใกล้หยวนกงกงแล้วรั้งสายบังเหียนไว้ พร้อมปรายตามองแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “หยวนกงกงยืนรอผู้ใดอยู่ที่หน้าประตูวังหรือ”
หยวนกงกงได้กลิ่นสุราอวลออกมาจากร่างราชครูเว่ย จึงรีบตอบด้วยท่าทางกลัวหงอ “เรียนท่านราชครู เมื่อตอนกลางวันท่านพูดไว้ว่าต่อจากนี้ไปจะร่วมกินอาหารกลางวันและอาหารเย็นกับฮ่องเต้ ดังนั้นฮ่องเต้กับผู้น้อยจึงรอท่านราชครูอยู่ขอรับ”
พอได้ยินหยวนกงกงพูดเช่นนี้ เว่ยเหลิ่งเหยาถึงคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้นจริงๆ จึงโบกมือเป็นการบอกให้เปิดประตูวังโดยไม่ลงจากหลังม้า จากนั้นเขาก็นำกลุ่มแม่ทัพจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหวดแส้ควบม้าห้อตะบึงเข้าไปในวังหลวงอย่างเอิกเกริกท่ามกลางสีหน้าท่าทางตกตะลึงจนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกของหยวนกงกง
ในระหว่างทางนี้เหล่าทหารยามลาดตระเวนผลัดกลางคืนที่ออกตรวจตราอยู่มาพบเข้าก็ถึงกับตื่นตระหนก รีบชักดาบออกมาตั้งท่ารอเป็นอันดับแรก กระทั่งพวกเขาเห็นชัดเจนว่าผู้ที่นำขบวนคือราชครูเว่ยก็รีบเก็บดาบและหลีกทางให้โดยไม่รอช้า
ต่อมาหลี่ว์เหวินป้าผู้บัญชาการใหญ่ก็เปล่งเสียงดังลั่น “ม้าของท่านราชครูมาถึงแล้ว กองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านหน้าทั้งหมดหลีกทางด้วย!”
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตลอดทางนี้ทำเอาคนตำหนักชั้นในโกลาหลปั่นป่วนขึ้นมา
บรรดาขุนพลแม่ทัพของเว่ยเหลิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลังล้วนคุ้นเคยกับการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านในสนามรบเป็นอย่างดี เพราะพวกเขาอยู่ในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การควบม้าวิ่งพล่านไปทั่ววังหลวงแห่งนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน มีเพียงติดตามผู้นำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวอย่างเว่ยเหลิ่งเหยาเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถทำเรื่องอุกอาจท้าทายเสี่ยงต่อการประณามหยามเหยียดจากผู้คนในใต้หล้าเช่นนี้ได้!
ฤทธิ์สุราทวีความเข้มข้นขึ้นชั่วขณะหนึ่งจนเลือดในกายสูบฉีดเดือดพล่าน เว่ยเหลิ่งเหยาจึงหวดแส้เฆี่ยนม้าแรงขึ้นไปอีก…
ขณะที่ทั้งคนและม้าวิ่งมาถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั้น โคมไฟในตำหนักบรรทมก็ถูกจุดจนสว่างไสว ลานด้านในเต็มไปด้วยนางกำนัลบ่าวไพร่ที่คุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น แต่ละคนตัวสั่นงันงก ต่างคิดไปว่าราชครูเว่ยผู้นี้กระทำการซ้ำรอยเดิม สร้างฝันร้ายอย่างเหตุการณ์นองเลือดในวังหลวงขึ้นอีกครั้งแล้ว
เนี่ยชิงหลินก็ทราบเรื่องแล้วเช่นกัน เดิมทีนางกำลังรอราชครูเว่ยมากินอาหารเย็นด้วยกันอยู่ ไม่คิดเลยว่าคนที่มากลับเป็นกองทหารม้าแทนเสียนี่
ช่างเถอะ หายนะใกล้มาถึงแล้ว จะหลบก็หลบไม่พ้นอยู่ดี เนี่ยชิงหลินเดินออกไปด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง อันเฉี่ยวเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านหลังร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ได้แต่กอดขาเนี่ยชิงหลินไว้พร้อมรำพันคร่ำครวญ “ฝ่าบาทเพคะ!”
เนี่ยชิงหลินตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็เดินช้าๆ ตรงไปที่ลานตำหนัก
นางเห็นเพียงราชครูเว่ยนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ ชุดสีดำที่เขาสวมใส่เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่อาบลงมาแล้วยิ่งเผยกลิ่นอายเผด็จการเอาแต่ใจยิ่งนัก
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)