ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เชิดรักมังกรซ่อนเงาหงส์ บทที่ 82-83
งานเลี้ยงมอบรางวัลฉลองชัยชนะแก่ทหารจัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กองทัพใหญ่กลับถึงเมืองหลวง
ดอกเบญจมาศบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ร่วง นายท่านหกแห่งจวนสกุลเสิ่นได้รู้ว่ากระถางดอกโบตั๋น ‘โต้วลวี่’ ของเขาเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้ก็รู้สึกมีกำลังใจมาก จึงตัดสินใจส่งดอกเบญจมาศราคาแพงที่ตนปลูกเองหลายกระถางเข้าไปในวัง ดอกเบญจมาศเลอค่าเหล่านี้มีดอกอวบใหญ่ สีสันสลับซับซ้อน กิ่งก้านใบหนาและแข็งแรง ใบสีเขียวสดนั้นไม่ร่วงง่าย กิ่งก้านของดอกไม้เขียวชอุ่ม และดอกที่อุดมสมบูรณ์ทำให้คนเห็นแล้วแทบไม่อาจละสายตาจากมันไปได้ ทว่ากลับลืมไปว่าแท้จริงแล้วยามนี้เป็นฤดูกาลที่ดอกไม้ใกล้จะโรยราแล้ว
ดังนั้นงานเลี้ยงในพระราชวังจึงถูกจัดในอุทยานหลวง งานเลี้ยงที่จัดขึ้นท่ามกลางหมู่ดอกเบญจมาศที่เบ่งบานเต็มที่นั้นงดงามตระการตามาก กระโจมกึ่งเปิดที่สร้างขึ้นตามแบบค่ายทหารทำจากผ้าไหมผสมด้ายเงินทอประกายอย่างมีเสน่ห์ยามต้องแสงแดด และยิ่งไปกว่านั้นยังเข้ากันได้ดีกับดอกไม้ที่อยู่รายรอบด้วย
นี่คือความคิดของเนี่ยชิงหลิน เดิมทีการจัดงานเลี้ยงในวังหลวงมักถูกจัดในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วทั้งฮ่องเต้และขุนนางทั้งหลายต่างก็รู้สึกเกร็งและรู้สึกว่าถูกจำกัดอิสระ ทำให้ความตั้งใจเดิมของฮ่องเต้และขุนนางที่จะสนุกสนานร่วมกันพลอยเหือดหายไป แต่ตอนนี้กระโจมแต่ละหลังถูกจัดให้ห่างกันและยังคั่นกลางด้วยทะเลดอกไม้ จึงทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป สามารถดื่มกับสหายร่วมงานที่คุ้นเคยได้อย่างเต็มที่
หลังเพิ่งกลับมาจากสนามรบที่เต็มไปด้วยศพและกลิ่นคาวเลือด ตอนนี้ได้มาอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่หาดูได้ยาก ทำให้ทหารทุกนายเบิกบานมีความสุขมากเช่นกัน สักพักเสียงหัวเราะพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสายในอุทยานหลวง
ชิวหมิงเยี่ยนที่ดื่มสุรากับสหายเก่าที่เคยร่วมงานกันในกองทัพอย่างหลี่ว์อวี้ต๋าและคนอื่นๆ จนเพลิดเพลิน จู่ๆ ก็โพล่งถามขึ้นว่า “ช่วงก่อนหน้านี้ข้าต้องไปปราบโจรที่ต่างเมือง จึงไม่ค่อยรู้สถานการณ์ในเมืองหลวงมากนัก ว่าแต่เหตุใดซั่นเถี่ยฮวาผู้นั้นถึงได้เข้าวังไปเป็นนางข้าหลวงเสียแล้วเล่า ใช่ว่านางฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางทหารเลยถูกท่านราชครูลงโทษอย่างนั้นหรือ”
หลี่ว์อวี้ต๋าที่ดื่มหนักไปหน่อยจนลิ้นพันกันพูดขึ้นว่า “ถูกลงโทษที่ใดกันเล่า นางเข้าวังไปเพื่อหาความสุขล่ะสิไม่ว่า! ยายเฒ่าคร่ำครึรูปร่างเหมือนนางยักษ์ เมื่อเร็วๆ นี้ถึงกับทาปากแดงแจ๋ แล้วยังปักปิ่นปักผมดอกไม้ด้วย ข้าชมนางด้วยความเจตนาดีแท้ๆ บอกว่านางตัวหอมดี นางกลับมาตบบ้องหูข้าเสียนี่! เชอะ! มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่จะตกหลุมรักหญิงม่ายโรคระบาดอย่างนางได้น่ะ!”
ชิวหมิงเยี่ยนอดทนฟังสิ่งที่คนเมาพูดเป็นเวลานาน ทว่ากลับไม่ได้ยินคำพูดที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่คำเดียว
หลี่ว์อวี้ต๋าผู้นี้อายุน้อยกว่าซั่นเถี่ยฮวาสิบปี แต่เขามีความชอบที่ไม่ธรรมดา หลังกลับมาจากสนามรบกับซั่นเถี่ยฮวา เขาก็ตกหลุมรักหญิงม่ายผู้นี้ซึ่งอายุเกือบสี่สิบปีจริงๆ น่าเสียดายที่ซั่นเถี่ยฮวายังคงภักดีต่อสามีที่ล่วงลับ ไม่คิดเรื่องแต่งงานใหม่ โดยเฉพาะกับชายที่อายุน้อยกว่า นางไม่ได้แสดงความสนใจต่อแม่ทัพหลี่ว์แม้แต่น้อย หลี่ว์อวี้ต๋าถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเรื่องนี้แพร่กระจายรู้กันไปทั่ว กลายเป็นที่โจษจันในค่ายทหาร ท้ายที่สุดนางไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย ความโกรธเกรี้ยวเริ่มทำให้เขาเสียหน้า เขากับซั่นเถี่ยฮวาเริ่มไม่ถูกกันมากขึ้นเรื่อยๆ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องหาเรื่องชวนทะเลาะกันอยู่เป็นประจำจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ชิวหมิงเยี่ยนผิดหวังเล็กน้อยและไม่อยากสนใจคำพูดที่เต็มไปด้วยความขมขื่นของแม่ทัพหลี่ว์ เขาหยิบจอกสุราขึ้นมาแล้วยืนขึ้นเพื่อชื่นชมดอกไม้ที่มีชื่อเสียงในอุทยานหลวงแทน
จำได้ว่าก่อนที่ครอบครัวของเขาจะประสบเรื่องร้าย ทุกเทศกาลไหว้พระจันทร์จะเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศอันโด่งดังหลากสีสัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทุกคนในจวนสกุลชิวจะมารวมตัวกัน มีความสุขสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ช่างน่าเสียดายที่ฮ่องเต้ผู้โง่เขลานั่นมากตัณหาหลงใหลในความงามของสตรี ถูกหนิงเฟยทำให้ลุ่มหลงจนหลงผิดไปไว้ใจเลือกใช้ขุนนางทรยศอย่างเสนาบดีหรง จนเป็นเหตุให้เขาต้องบ้านแตกสาแหรกขาด! จากเรื่องนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าความงามของสตรีที่ทำให้ผู้มีอำนาจลุ่มหลงได้ร้ายกาจยิ่งกว่าเสือและหมาป่าเสียอีก!
ครั้นคิดดังนี้ชิวหมิงเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปยังกระโจมที่ฮ่องเต้นั่งอยู่ กลับพบว่าบัลลังก์มังกรนั้นว่างเปล่า เขานึกได้แล้ว ฮ่องเต้น้อยพระองค์นั้นเพียงดื่มสุราไปแค่จอกเดียวก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงขอตัวออกจากงานเลี้ยงไปก่อน
ชิวหมิงเยี่ยนถอนสายตากลับมาและเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว ค่อยๆ ห่างออกมาจากเสียงดังในงานเลี้ยง เมื่อเขาปีนขึ้นไปบนภูเขาจำลองเพื่อมองดูทะเลดอกไม้ในอุทยานหลวง ทันใดนั้นก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างศาลารับลมเย็นที่มีกำแพงดอกไม้กั้นไว้อีกฟากหนึ่งในอุทยานหลวง
ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวลวดลายสายน้ำเกลียวคลื่นงูเหลือมขาวอันเป็นมงคล สวมเกี้ยวครอบผมสีทองบนศีรษะที่สะท้อนแสงเจิดจ้าระยิบระยับเมื่อถูกแสงแดด รูปร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลาทำให้ยากที่จะละสายตาได้ เห็นได้ชัดว่าก็คือท่านราชครูเว่ย ส่วนหญิงสาวที่รูปร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นอรชรผู้นั้นสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีขาวนวลยาวกรอมเท้า สีสันเรียบง่ายทว่าดูสง่างามสะดุดตาเป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางดอกเบญจมาศสีขาวก็คือองค์หญิงหย่งอัน
เนื่องจากพวกเขาอยู่ที่มุมหนึ่งของอุทยานหลวงซึ่งมีกำแพงดอกไม้บดบังสายตาทุกคนได้ อีกทั้งยังมีนางข้าหลวงและขันทีคอยเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าซึ่งสามารถเข้าออกได้ทางเดียว ดังนั้นคนทั้งสองจึงปลอดโปร่งผ่อนคลายไม่มีความกังวลใดๆ
เขาเห็นท่านราชครูเชยคางเรียวขององค์หญิงขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากของหญิงงามในอ้อมแขนที่หน้าตาสดใสมีเสน่ห์ละม้ายฮ่องเต้อย่างเนิ่นนาน…
ชั่วขณะหนึ่งชิวหมิงเยี่ยนรู้สึกว่าแก้วหูของตนแทบจะแตกดังเปรี๊ยะ เขามักมีภาพลวงตาอยู่เสมอว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านราชครูหาใช่องค์หญิงหย่งอันไม่ แต่เป็นฮ่องเต้หนุ่มผู้เย่อหยิ่งที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจพระองค์นั้นต่างหาก…
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 พ.ย. 68
Comments



